::The Last Trip Of This Year::




เมื่อวานโอกาสเหมาะเจาะฉันเลยได้ไปโลดแล่นมา 2 ที่กับ 2 จังหวัด ไปสะพานข้ามแม่น้ำแควกับพระปฐมเจดีย์มาค่ะ หลังจากเคร่งเครียดกับ 2 สัปดาห์ของการสอบกลางภาคที่กระอักออกมาเป็นเลือด พอสอบเสร็จรู้สึกโล่ง แต่เดี๋ยวต้องไปนั่งลุ้นตัวโก่งอีกทีหลังปีใหม่กับคะแนนสอบทั้ง 6 ตัว



ออกเดินทางจากบ้าน 6 โมงเช้า สองถนนข้างทางยังมีไฟเปิดอยู่เป็นระยะๆ พื้นถนนมีรถไม่มาก ขับผ่านพอให้รู้ว่านี่นะถนน อากาศตอนเช้าก็ไม่ร้อน นี่แหละน้า...ข้อดีของการเดินทางตอนเช้า สำหรับฉัน ถ้าตื่นเช้าวันนั้นทั้งวันก็จะรู้สึกสดชื่น


ครั้งนี้ใช้พาหนะเดินทางไปกาญฯ ด้วยรถไฟ รู้กันมั้ยคะ นี่เป็นครั้งแรกเลยเชียวนะที่ฉันได้ลิ้มลองการขึ้นรถไฟ ปู๊นๆ เกิดมาจะย่างเข้าเลข 2 เพิ่งจะได้มาขึ้นก็เมื่อวานนี้แหละค่ะ ฉันเลยออกจะตื่นเต้นนิดๆ กว่าคนร่วมทางข้างๆ นิดหน่อย


  


รถไฟไทยยังเหมือนเดิมค่ะ ความตรงต่อเวลาหาไม่ได้ ตั๋วบอกออก 7.46 กว่าจะออกก็ปาไป 8.10 แล้ว แต่เผอิญอากาศดี และเลือกนั่งฝั่งที่ไม่โดนแดด เลยทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ นั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ลมพัดเข้าหน้ารับอากาศดีๆ ที่หาได้น้อยในกรุงเทพฯ 


 


ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็น 2 สาวชาวต่างชาติ คนนึงมากจากไต้หวัน ส่วนอีกสาวนี่คงแถบๆ ยุโรปหรือไม่ก็อเมริกา สาวไต้หวันหันมาถามถึงราคาตั๋วรถไฟว่า ของคนไทยเขาคิดกันเท่าไหร่ ฉันซื้อตั๋วไปสถานีสุดท้ายที่น้ำตกเลยก็ ราวๆ 30-40 บาท(จำไม่ได้ค่ะ!) แต่สำหรับคนต่างชาติฉันเพิ่งรู้จากสาวไต้หวันว่า มันตั้ง 100 บาท ฉันถึงกับอึ้งและรู้สึกอายแทนประเทศตัวเองที่หาเงินกับชาวต่างชาติเช่นนี้ ทั้งๆที่ เขาก็คนเหมือนกัน แต่อย่างว่าล่ะค่ะ ฉันก็(ต้อง)เข้าใจถึงระบบๆ นี้ ที่หลายๆประเทศก็ต้องชาร์ตเงินสำหรับค่าใช้บริการของนักท่องเที่ยวต่างถิ่น


 


ถึงแม้จะซื้อตั๋วถึงสถานีน้ำตก แต่ต้องจำใจลงที่สถานีสะพาน เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร กว่าจะถึงน้ำตก คงราวบ่ายๆ ถึงแล้วคงต้องตีรถกลับทันที เลยคิดว่าลงสะพานแล้วหาที่เที่ยวในเมืองดีกว่า


 


 


เมื่อวานแม่น้ำแควใส สวย กว่าครั้งก่อนที่มาเยือน เรียกว่าเทียบกันไม่ติด มองแล้วนึกว่าอยู่ยุโรปที่น้ำจะออกสีเขียวหน่อยๆ มองแล้วสบายตา และสบายใจ


 


เดินไปเดินกลับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ก็ถึงเวลาออกจากสะพานไปหาสถานีขนส่ง เพราะจะต้องรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน จะไปเที่ยวไหนจะได้กลับมาถูก เพราะบอกตรงๆว่า ไม่ได้วางแผนการเที่ยวในครั้งนี้มากนัก เลยออกจะมึนๆ งงๆ เสียหน่อย ใช้ถามทางชาวบ้านไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงสถานีขนส่ง


 


พอถึงปุ๊บ ความคิดมันปิ๊งว่า ถ้าเที่ยวในกาญฯ ต่อคงไม่มีอะไร เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่มันก็ไกลจากตัวเมือง ที่อยู่ใกล้ๆ ก็เป็นพวกสุสานเสียมากกว่า เลยนั่งรถทัวร์ไปนครปฐม ที่นั่นน่าจะมีอะไรให้ดูมากกว่า อย่างน้อยๆ ก็พระปฐมเจดีย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครปฐม 


 
น้องไอเลิฟยู (สังเกตตรงนิ้ว)


ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเคยมาพระปฐมเจดีย์หรือเปล่า แต่เท่าที่จำได้น่าจะไม่เคย ถึงแม้จะเป็นช่วงเย็นๆ แล้ว แต่ผู้คนก็ยังเข้ามากราบไหว้พระกันอยู่ มีทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ถึงคนชรา การปลูกฝังเด็กให้เข้าวัดบ่อยๆ น่าจะทำให้สังคมในอนาคตดีขึ้นไม่มากก็น้อย ฉันเชื่อเช่นนี้


 


จะถึงปีใหม่แล้ว เพื่อนๆจะไปเที่ยวที่ไหนกันคะ สงสัยฉันคงต้องอยู่บ้าน รออ่านไดฯของเพื่อนๆแน่เลย เพราะปีใหม่คนเยอะ อยู่บ้าน พักผ่อน เก็บแรงไว้ฟังผลสอบดีกว่า

::At Night In BKK::


เมื่อวันอังคารที่แล้ว มีโอกาสไปชมเมืองยามค่ำคืนมาล่ะค่ะ สวยงามมากๆ (แต่แอบคิดในใจว่าไม่รู้จะเปลืองค่าไฟของชาติไปเท่าไหร่ก็มิรู้) นั่งรถตุ๊กตุ๊กชมเมือง เพราะพาเพื่อนของพี่เที่ยว (ชาวต่างชาติ) พี่คนขับก็น่ารักมากๆเลย เดาว่าแกเป็นคนใต้ พอขับไปซักพักแกก็ไปรับแฟนแกที่รออยู่ ตอนแรกฉันก็ตกใจนิดๆ ค่ะ หยุดทำไมกัน แต่แบบพอเห็นแฟนแกเดินมานั่งข้างๆแก คุยกันกุ๊กกิ๊ก น่ารักมากๆเลยค่ะ แฟนแกยังหันมาส่งยิ้มหวานให้อีกรายรอบ ดูแล้วน่าอิดฉาไม่ใช่เล่น


มีรูปมาฝากด้วยนะคะ อาจไม่สวยเท่าไหร่ ก็อย่าว่ากันเน้ออออ....


 

 

 

 


ขอเม้าท์เพื่อนพี่หน่อยนะคะ แบบเฮียพูดเร็วมาก เร็วจริงๆ ฉันนี่ฟังแทบไม่ทัน จับคำไม่ได้เลย แบบเป็นอเมริกันของแท้เลยก็ว่าได้ โอ้แม่เจ้า หันมาคุยกับฉัน ฉันอยากเอาหัวกระแทกพื้นซีเมนต์ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง อยากหายไปซะตอนนั้น แล้วเฮียแกนี่พูดเร็วยังไม่พอ พูดเก่งด้วยค่ะ พูดน้ำไหลไฟดับ หันไปคุยกับคนนู้นที คนนี้ที มนุษยสัมพันธุ์เนี่ยให้เฮียได้โล่เลยค่ะ


พาเฮียไปหลายที่อยู่เหมือนกัน ไปพระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอนันตสมาคม วัดโพธิ์ วัดอรุณ ก่อนกลับมีดินเนอร์สุดหรู(หรอ?) ที่วังหลัง ตบด้วยนั่งรถชมเมือง ชมแสงสียามค่ำคืนรอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์


วันนั้นถือว่าเป็นวันที่ฉันค่อนข้างเหนื่อย ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเหนื่อยเหมือนกัน เพราะปกติฉันก็เที่ยวอย่างนี้บ่อยๆ แต่นี่อาจจะใส่สมองและประสาทส่วนการรับฟังมากไปหน่อย เลยล้า กลับบ้านหลับเป็นตายเลยค่ะ
  

ปล. วันนี้วันเกิดแม่ ยังไม่ได้แฮปเลย เพิ่งจะทะเลาะกันเอง

::วันหนึ่งวัน::


เคยคิดมั้ยว่า ... เกิดมาคุ้มหรือยัง??


ยัง เป็นคำตอบที่หนักแน่นและตอบได้ทันทีสำหรับฉัน อย่างว่าล่ะผ่านฝนมาเพียงไม่กี่ปีจะไปชีวิตให้มันคุ้มได้อย่างไร คุ้ม-ไม่คุ้ม ความหมายของมันก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนอีกล่ะ คุ้มยังไง คุ้มแบบไหน


ช่วงนี้ต่อมเที่ยวกำเริบมากๆ มือไม้ ขาสั่นดิ๊กๆ อยากไปเที่ยว ใจก็เพ้อไปถึงนู้นที นี่ที ยิ่งช่วงนี้เห็นพวก Backpacker บ่อยๆ ใจเตลิดทุกที คิดในใจว่า "แหม เมื่อไหร่จะถึงทีของเราน้า..."


มีอยู่หลายทริปที่ตั้งท่าจะไป แต่ก็ล้มไม่เป็นท่า เดี๋ยวติดนี่ ติดนู้น ฉันว่าง เพื่อนไม่ว่าง งบหมด วนเวียนอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือสวรรค์จะแกล้งฉันกันแน่!


วันนี้มีโอกาสได้คุยกับ Nice Sis นานๆซะที คุยหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเที่ยว ฉันได้ฟังคำหนึ่งจากปากของพี่สาวคนนี้ ถึงกับตกใจ "พี่ไม่อยากเรียนแล้ว" คำนี่แหละ ฉันไม่คิดว่า คำนี้จะพูดออกมาจากปากเค้า เพราะหลายๆ อย่างเป็นเหตุผลประกอบ ท่าทางช่วงนี้คงเรียนหนัก มีอะไรให้คิดเยอะเกินไปมั้ง หรือไม่ก็เอาใจไปจ่อกับบางสิ่งมากเกินไป


ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และกับทุกๆ คน ใช่ว่าฉันไม่เคย ฉันก็เป็นบ่อยๆ ที่มีความคิดเช่นนี้วิ่งปรู๊ดเข้ามา แต่ฉันพยายามเบรคมันไว้แค่ความคิด อย่าเชียวนะ อย่าเผลอให้ความคิดนี้มันสั่งให้ฉันปฏิบัติตามเชียวล่ะ


รู้มั้ยคะ ตอนที่ฉันกำลังนั่งรถกลับบ้าน ฉันคิดว่ฉันจะเขียนไดวันนี้เกี่ยวกับการเมืองที่ยิ่งแย่ขึ้นทุกๆ วันของประเทศไทย แต่ไหงลืมมันซะเฉยๆ ก็ไม่รู้ เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ เอาเป็นว่า แปะไว้ก่อนละกันนะคะ ฉันมีอะไรหลายอย่างเลยล่ะที่อยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมืองไทยหนอเมืองไทย

::เพียงเปิดใจ::


ฉันกลับมาแล้วค่ะ กลับมาอย่างเต็มตัว แถมด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก คิดถึงกันมั้ยคะ ฉันน่ะคิดถึงพี่ๆ เพื่อนๆ มากๆ ค่ะ มีเวลาก็แวะไปเยี่ยมเยียนบางคนบ้าง แต่ไม่ค่อยได้คอมเม้นต์เท่านั้นเองล่ะค่ะ



กลับมาอีกครั้งเพราะชีวิตมันอยู่ตัวแล้ว ไม่มีอารมณ์ที่เหงาจนจับใจ ไม่มีอารมณ์ที่บ้าบอคอแตก มีเพียงอารมณ์เรื่อยๆ ค่อยๆ ผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น (แม้บางวันจะเหมือนคนบ้า นั่งขำอยู่ทั้งวันก็ตาม <-- อย่างนี้ฉันยังเรียกว่าเป็นปกติอยู่ค่ะ!)


ช่วงก่อนหน้านี้ อารมณ์มันไม่ไหวเลย เครียดกับหลายๆเรื่อง เหมือนฉันจมอยู่ในความทุกข์ที่มืดมิด มองไม่เห็นแสงสว่างภายนอก แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ควรทำตัวและทำใจอย่างไร ให้ฉันเดินอยู่บนเส้นขนานของคำว่าทุกข์และสุข


การเปิดใจรับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ได้ ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในชีวิต ทำใจให้กว้างเข้าไว้ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ถือตัวเองเป็นคนสำคัญ แต่ก็ไม่ควรเอาใจใครคนหนึ่งมากเกินไป น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่รู้สึกเหมือนที่ฉันเคยเป็น การยึดติดกับหลักการหรือความเชื่อมั่นในตนเองมากไป ในบางครั้งใช่ว่ามันจะดี เราต้องผ่อนมันลงบ้าง บางอย่างมันตีงได้ แต่บางอย่างเราไม่สามารถตึงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จะเป็นตัวเราเองที่เจ็บและปวดเสียมากกว่า


ใช่ว่าฉันปลงแล้วกับเรื่องราวของชีวิตที่ได้เจอะเจอ แต่เพียงฉันเปิดใจยอมรับกับสิ่งที่เรียกว่ามายาในโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ได้แล้วต่างหาก


พอแล้วสำหรับความโดดเดียว อ้างว้างที่ซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจ ตอนนี้ขอต้อนรับเพื่อนใหม่คนเก่าก่อนที่ชื่อว่าความสนุกสนาน ร่าเริงบ้างละกัน ถึงแม้เพื่อนใหม่คนเก่ากำลังครอบคลุมจิตใจอยู่ ณ ตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ไปนานเท่าไหร่เหมือนกัน บอกตามตรงนะคะ ฉันก็กลัวว่าความโดดเดี่ยว อ้างว้างที่ซ่อนตัวเงียบๆ ภายในจิตใจของฉัน จะออกมาทำพิษฉันอีกครั้งเหมือนกัน ออกมาบ้างบางครั้งคราวน่ะไม่ว่ากันหรอกค่ะ แต่ออกมานานๆ เดินป้วนเปี้ยนแถวนี้นานๆ คงไม่ไหวล่ะ


เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ฉันไปร้านหนังสือเดินทางที่ถนนพระอาทิตย์มาค่ะ ไปเพราะจะไปซื้อหนังสือเดินทาง แล้วก็หนังสือทำมือเล่มนึง แต่ปรากฎว่าตอนนี้พี่หนุ่มแกไม่ได้ขายหนังสือทำมือแล้ว เหตุผลเพราะว่า เจ้าของหนังสือทำมือ ไม่ค่อยมาดูงานของตนเองซักเท่าไหร่ บางรายทิ้งไว้หลายปีไม่มาดูความคืบหน้าของงานตัวเองเลย พี่แกเลยไม่ได้วางขายแล้ว เสียดายจังค่ะ เพราะฉันน่ะ ตั้งใจไว้เป็นดิบดีว่า จะหาหนังสือทำมือที่เพื่อนฉันทำกลับไปนอนกอดที่บ้านให้ได้ แต่แล้ว...ฝันสลาย


ใช่ว่าจะโชคร้ายค่ะ อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้รู้มาว่า ที่สวนสันติฯ จะมีงานมหกรรมหนังสือทำมือครั้งยิ่งใหญ่ (พี่หนุ่มแกบอกมาอย่างนี้) เกิดขึ้นเดือนหน้า ถ้าจำไม่ผิดวันที่ 13-15 ค่ะ (ขอเน้นอีกทีค่ะ ถ้าจำไม่ผิด) และแน่นอนล่ะค่ะ ฉันต้องไปแน่ๆ วันใดวันหนึ่ง แต่ดูแล้วว่าสงสัยจะต้องโดดเรียนไปล่ะคราวนี้! ใครที่ชอบหนังสือทำมือเหมือนกัน อย่าลืมไปดูงานนี้นะคะ


วันที่ไปร้านหนังสือเดินทาง เห็นกระดาษแปะที่บอร์ดว่า ทางร้านจะทำการย้ายร้าน อารมณ์แรกที่ได้อ่านรู้สึกอึ้ง เพราะไม่อยากให้ย้าย ร้านนี้อยู่กับถนนเส้นนี้มาก็หลายปีทีเดียว มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์เด่นๆ อย่างนึงเลยล่ะค่ะ มีป้อม มีสวนสันติ มีร้านมะตะบะ และก็มีร้านหนังสือเดินทาง มันรวมอยู่ตรงสุดปลายถนนเส้นแห่งความฝันของใครหลายๆคน ถนนที่มือชื่อว่าถนนพระอาทิตย์


ถึงแม้ว่าร้านจะไม่ได้ย้ายไปไกลสักเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ที่เดิม ไม่ใช่มุมเดิม บรรยากาศภายนอกไม่เหมือนเดิม แต่เชื่อย่างหนึ่งว่า เมื่อย้ายไปแล้ว บรรยากาศภายในยังคงเหมือนเดิม พร้อมเจ้าของคนเดิมค่ะ

::I Will Be Back Soon::


หลังจากที่พักไปยาวถึง2อาทิตย์ ในที่สุดก็ได้เวลาที่จะต้องกลับมาเสียที ช่วง2อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ออกไปโบยบินอย่างที่บอกไว้ ได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ หลายๆอย่าง ถึงแม้จะเหนื่อยกับการเดินทาง แต่ก็ยินดีและพอใจที่จะเดินต่อไป เพราะสิ่งที่ได้มามันช่างคุ้มค่ากับความเหนื่อยและหลายๆ สิ่งที่สูญเสียไป


ช่วงนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องปรับปรุง แก้ไข และเปลี่ยนแปลง คงต้องใช้เวลากับตัวเองอีกซักพัก ดังนั้นฉันขอโทษด้วยถ้าไม่ได้ไปทักทายคุณในไดอารี่ แต่ฉันคิดว่าหลังจากเดือนนี้ไป อะไรๆ คงลงตัวมากขึ้น เมื่อถึงวันนั้น ฉันก็จะกลับมาอย่างเต็มตัวค่ะ


Take care and good luck :) I'll be back soon.

::จัดกระเป๋า::


หลังจากพักผ่อนอยู่กับบ้านมาซักพัก ในที่สุดก็ถึงเวลาออกเดินทางเพื่อไปหาประสบการณ์อีกครั้ง การก้าวเดินนับจากนี้ไป ฉันจะก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง


วันนี้ไปปฐมนิเทศมาค่ะ ที่ใหม่ เส้นทางใหม่ เพื่อนใหม่ อาจารย์ใหม่ คณะใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ ฉันหวังว่าฉันคงไม่วางมันลงอีกครั้ง ฉันจะไม่วิ่งแล้วล่ะค่ะ เข็ดแล้ว วิ่งแล้วไม่ได้ทำให้การเดินทางของฉันสนุกขึ้นเลย นึกว่าจะทำให้คึกคักบ้าง แต่คิดผิดมาตลอด ต่อไปนี้จะเดินอย่างช้าๆ ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เดินไป เหนื่อยก็พัก แต่จะไม่เปลี่ยนเส้นทางอีกแล้ว


นับจากวันนี้ มีเวลาจัดกระเป๋าเตรียมตัวรับกับสิ่งใหม่ๆที่จะเข้ามาในระหว่างการเดินทางเส้นนี้ 2 วัน ฉันจะนำอะไรใส่กระเป๋าไปบ้างดีคะ อืม...

รอยยิ้ม 
น้ำใจ 
ความรัก 
ความให้อภัย 
สมุดบันทึก/ปากกา 
อ้อ แล้วก็ไม่ลืมที่จะนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาใส่เข้าไปด้วยค่ะ

วันนี้คงจัดสิ่งเหล่านี้ลงกระเป๋าไปก่อน เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทาง แล้วคืนนี้ฉันจะไปนั่งคิด นอนคิดอีกว่า จะต้องนำอะไรไปอีกมั้ย


คุณคะ มีอะไรจะแนะนำก็บอกกันได้นะคะ เพราะอย่างที่บอกไว้น่ะค่ะ ครั้งนี้ฉันจะก้าวไปอย่างมั่นคง ก็เลยต้องเตรียมตัวให้มากหน่อย จะได้ไม่หลงลืมอะไร เพราะครั้งนี้ฉันจะไปไกลเลยล่ะค่ะ อีกหลายปีที่เดียวกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ เอาใจช่วยฉันด้วยนะคะ

::ความยาก-ง่ายของชีวิต::


วันนี้ฉันมี Forward mail มาฝากล่ะค่ะ ฉันเห็นว่ามันเป็นข้อความที่ดี เลยอยากมาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน แต่ว่าบางคนอาจเคยได้อ่านกันมาบ้างแล้วนะคะ


ง่าย... ที่จะหาที่อยู่ในสมุดโทรศัพท์ ยาก... ที่จะหาที่อยู่ในใจคน 
ง่าย... ที่จะตัดสินความผิดของคนอื่น ยาก... ที่จะยอมรับความผิดของตนเอง 
ง่าย... ที่จะพูดโดยไม่คิด ยาก... ที่จะยั้งลิ้นของตนเอง 
ง่าย... ที่จะทำให้คนที่รักเราเจ็บ ยาก... ที่จะรักษาบาดแผล 
ง่าย... ที่จะขอการอภัย ยาก... ที่จะให้อภัยผู้อื่น 
ง่าย... ที่จะตั้งกฏเกณฑ์ ยาก... ที่จะทำตามกฏเกณฑ์ 
ง่าย... ที่จะฝัน ยาก... ที่จะต่อสู้เพื่อความฝัน 
ง่าย... ที่จะอวดชัยชนะ ยาก... ที่จะพ่ายแพ้อย่างสง่างาม 
ง่าย... ที่จะชื่นชมพระจันทร์ข้างขึ้น ยาก... ที่จะเห็นพระจันทร์ข้างแรม 
ง่าย... ที่จะสะดุดหกล้ม ยาก... ที่จะรีบลุกขึ้น 
ง่าย... ที่จะสนุกสนานกับชีวิต ยาก... ที่จะให้คุณค่าแท้จริงของชีวิต 
ง่าย... ที่จะให้คำสัญญษ ยาก... ที่จะทำตามคำสัญญา 
ง่าย... ที่จะบอกว่ารัก ยาก... ที่จะแสดงออกว่ารักจริง 
ง่าย... ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ยาก... ที่จะปรับปรุงตัวเอง 
ง่าย... ที่จะทำผิด ยาก... ที่จะเรียนรู้จากความผิดนั้น 
ง่าย... ที่จะคิดปรับปรุง ยาก... ที่จะลงมือกระทำ 
ง่าย... ที่จะรับ ยาก... ที่จะให้ 
ง่าย... ที่จะอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก ยาก... ที่จะเข้าใจทุกบรรทัดที่อ่านและปฏิบัติได้


ลองอ่าน คิดตาม และนำไปใช้ หรือปรับปรุงระหว่างการเดินทางของชีวิตดูนะคะ


PS. ฉันเปลี่ยนชื่อไดอารี่แล้วนะคะ สังเกตุเห็นกันรึเปล่าเอ่ย :) 

::ปัจจัยของความเปลี่ยนแปลง::


เคยคิดกันมั้ยคะว่าอะไรทำให้คุณเปลี่ยนไป? ทั้งเปลี่ยนไปในทางทีดี และในทางที่แย่ลง มันมีอยู่หลายปัจจัยเนอะ ว่ามั้ยคะ


สำหรับตัวฉันนะ
- ครอบครัว
- เพื่อน
- โรงเรียน/มหาลัย
- วัย - ความกดดัน
- ผู้คนที่ผ่านเข้ามา
- ความคิดของบางคนที่เขียนผ่านหนังสือบางเล่ม
- สถานที่/สภาพแวดล้อม/สังคม


นี่คือปัจจัยที่ฉันคิดว่ามีผลกระทบต่อสภาพกายภายนอกและสภาพใจภายในค่อนข้างมาก แต่ก็อย่างว่าล่ะนะคะ โลกยังหมุนไปเรื่อยๆ เลย แล้วคนอย่างเราๆ จะไม่ขยับเปลี่ยนแปลงไปไหนเลยก็คงไม่ได้ ใช่มั้ยล่ะคะ คนเราต้องเปลี่ยนไปตามสภาพที่ควรจะเป็นแหละเนอะ (รึเปล่าคะ?)

::จังหวัดที่ 77::


เมื่อเช้า ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง (และคาดว่าอีกหลายฉบับคงพาดหัวข่าวนี้เช่นกัน) พาดหัวข่าวว่าจะตั้งนครสุวรรณภูมิเป็นอีกจังหวัดของประเทศไทย คือเป็นจังหวัดที่ 77


วันนี้ที่หยิบยกหัวข้อข่าวนี้มาเขียนเพราะว่า ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับเรื่องนี้ การที่จะตั้งจังหวัดขึ้นมาอีกจังหวัดนึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องร่างกฎหมายใหม่ ต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง ในความคิดของฉัน ฉันว่ามันไม่คุ้มเอาซะเลย มีแต่จะโกงกันมากกว่านี้อีก เอาแค่การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิก็กินกันไปเท่าไหร่แล้วล่ะ เม็ดเงินที่ประชาชนอย่างเราๆ จ่ายไป ครึ่งนึงสร้างสนามบิน อีกครึ่งคงเข้ากระเป๋าพวกท่านซะตุงเลยสินะ


อีกเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้ตั้งเป็นจังหวัดใหม่ก็คือ ต่อไปหลังจากที่สนามบินเปิดทำการในปีหน้า รถ ผู้คน มลพิษ คงอบอวลอยู่แถวนี้เต็มไปหมดแน่นอน แค่นี้ก็แย่แล้ว แต่ทางรัฐบาลยังคิดจะสร้างนู้น ปลูกนี่ให้มันเป็นเมืองเข้าไปอีก ถึงแม้จะบอกว่าถ้าสามารถดำเนินการตั้งนครสุวรรณภูมิเป็นจังหวัดใหม่ได้ ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจมากมายมหาศาล แต่ลองคิดสิ มันคุ้มแล้วหรือ กับการเสียสภาพร่างกาย สภาพจิตใจของทรัพยากรบุคคลของประเทศลงทีละนิดๆ เนื่องจากมลพิษต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ความวุ่นวายที่แน่นอนว่าผู้คนแถวนั้นจะต้องรับมือ จากที่เมือก่อน ผู้คนแถวนี้อยู่กับสวน มีบ่อปลา มีความเป็นชาวบ้าน แต่นับวันสิ่งเหล่านี้จะถูกทำลายทีละนิด แต่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน


อาจจะเป็นเพราะฉันคิดไกลไปรึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงรู้สึกไม่ดีกับข่าวนี้เอามากๆ แต่ไม่แน่นะ มันอาจจะดีก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ (แต่เอาเป็นว่า ยังไงฉันก็ไม่เห็นด้วยละกัน)

::ต่างสถานที่ ต่างอารมณ์::


คืนหนาวคืนนี้ มองฟ้า มองดาว ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร นานๆ จะมีโอกาสได้ขึ้นมาอยู่ที่สูงอย่างนี้เสียที ทุกอย่างรอบตัวทำให้รู้สึกปลอดโปร่งเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรหลายๆ สิ่ง ไม่เหมือนในเมืองกรุง ที่มองฟ้าหาดาวแทบมองไม่เห็น แต่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสูงเฉียดฟ้าเด่นเป็นสง่า เด่นจนบังเดือนบังดาว บังกระแสลมหนาวยามค่ำคืนไปเสียหมด เห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน... เมืองกรุง


 
เขาค้อ, เพชรบูรณ์ : 10 ตุลาคม 2548


การเดินทางพร้อมกับสายฝน คงไม่มีใครผู้ใดชอบนัก มันเป็นอุปสรรคต่อหลายๆ อย่าง ทำอะไรก็ไม่สะดวกนัก แต่ข้อดีของสายฝน มันทำให้ตลอดเส้นทางการเดินทางของเรา ได้พบเจอแต่สิ่งที่ชุ่มฉ่ำ มองไปทางไหนก็สบายตา


ถนนทอดยาวตามที่ราบเชิงเขา ไม้ใหญ่สีเขียวสดปกคลุมสองข้างทาง นกน้อยบินทะยานบนฟากฟ้า ก้อนเมฆเปิดทางให้พระอาทิตย์ทำงานส่องแสงในยามเช้า แต่ไม่ได้ส่องจนแสบตา เพราะสายฝนได้ร่วงหล่นพอให้หายคิดถึง ช่างเป็นวันที่บรรยากาศดีเสียจริง


 
กลางทาง, กาญจนบุรี : 13 ตุลาคม 2548



และแล้วก็ถึงวันปลดเป้ออกจากบ่าเสียที รู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้าน แต่อีกใจก็รู้สึกว่า นี่ฉันต้องมาผจญกับเมืองกรุงอีกแล้วหรือนี่!

::เด็กไทยกับหนังสือ::


วันนี้ได้ไปแวะชมงานสัปดาห์หนังสือมาค่ะ อันที่จริงแล้วไม่อยากจะไปวันเสาร์-อาทิตย์อย่างนี้เลย คนมันเยอะ ไปแล้วไม่เหมือนไปดูหนังสือ มันเหมือนไปเบีบดคนเข้าชมคอนเสิร์ตของนักร้องคนดังมากกว่า


ครั้งนี้ ได้เจอหน้าคราตานักเขียนคนดังหลายคน (เอ๊ะ อาจจะดังในความรู้สึกฉันคนเดียวนะคะ!) ได้หนังสือมาหลายเล่มพอสมควร ใจจริงแล้ว หนังสือที่ฉันต้องการจะหามาอ่านมากๆ มีอยู่ 2 เล่ม แต่วันนี้ฉันไม่ได้ทั้ง 2 เล่มกลับมา เพราะเล่มนึง ฉันจำชื่อสำนักพิมพ์ไม่ได้ และอีกเล่มนึง เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์เล็กๆ ไม่มีบูธเป็นของตัวเอง เลยไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกวางอยู่ที่บูธของสำนักพิมพ์ไหน แย่จังเลยค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ฉันได้หนังสือที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อมาหลายเล่มอยู่ ไม่แน่นะ ไอ้ที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเนี่ย ฉันอาจจะเจออะไรดีๆ ในนั้นก็ได้นะคะ


อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ในงานวันนี้คนเยอะมาก ฉันเห็นภาพเยาวชนไทยในยุคปัจจุบันนี้ รักที่จะอ่านหนังสือกันมากขึ้น คือส่วนใหญ่ที่ไปกันจะเป็นเด็กวัยรุ่น วัยเรียน สำหรับวัยทำงานขึ้นไป ก็หนาตาอยู่เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เห็นแล้วน่าประทับใจนะคะ ที่เด็กไทยหันมาหยิบจับนั่งอ่านหนังสือกันเช่นนี้


แต่ถึงจะเห็นอย่างนั้น ฉันก็แอบคิดไม่ได้ว่า เยาวชนเหล่านี้ (เด็กไทยอย่างฉันเนี่ยแหละค่ะ) รักการอ่านหนังสือจริงหรือ มางานเพื่อที่จะมาเก็บหนังสือที่ตนรัก มาเจอนักเขียนที่ตนชอบ หรือมาเพื่อเดินโฉบไปโฉบมา มาตามกระแส ตามแฟชั่น ซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะเพื่อนอ่าน ถ้าเราไม่อ่านเดี๋ยวจะตกยุค อะไรประมาณนี้รึเปล่า ไม่รู้ทำไม ความคิดเช่นนี้ถึงแว๊บเข้ามาในโสดประสาทของฉัน แต่จริงๆ นะคะ มันคือการมาเพื่อตามกระแสรึเปล่า


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมากันตามกระแส อย่างน้อยพวกเค้าก็ได้เปิดโลกกว้างในการอ่านหนังสือ ถึงจะอ่านไปอย่างนั้นก็ตาม แต่ว่ามันก็น่าจะเป็นการตามกระแสที่ดี เป็นการตามกระแสที่ปลูกฝังการรักการอ่านไปในตัว ถ้าเยาวชนไทยมาตามกระแสอะไรดีๆ อย่างนี้บ่อย คงจะดีไม่ใช่น้อย


ก่อนที่ทุกๆ คนจะคิดว่าฉันเป็นหนอนหนังสือตังยง ขอออกตัวหน่อยนะคะว่า ฉันไม่ได้ชอบอ่านหนังสืออะไรมากมาย เพียงแต่ว่าอ่านเจาะเป็นแนวๆ ไป หนังสือแนวนวนิยายอะไรประมาณนี้ ฉันไม่ค่อยแตะเท่าไหร่หรอกค่ะ บางคนว่าสนุก แต่สำหรับฉันอ่านแล้วมันเบื่อน่ะ เปิดไปไม่กี่หน้าก็ปิดแล้ว ฉันชอบอ่านหนังสือท่องเที่ยว พวกสารคดีมากกว่า แล้วก็หนังสือแนวชีวิตหน่อยๆ ชีวิตจริงที่เราสามารถประสบพบเจอกับมันได้ นอกจากนี้ยังชอบอ่านหนังสือที่มีข้อคิดเยอะๆ ออกแนวล้มต้องลุกน่ะค่ะ อ่านแล้ว กำลังใจมันมาทุกครั้งไป


หนังสือบางเล่มอ่านแล้วติดนะคะ ติดซะหนึบเลย ได้อ่านทีไร วางไม่ลง

::เพื่อน::


เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ฉันรู้สึกแย่มากๆ ในเรื่องของการเรียน และเรื่องเพื่อน ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฉันจะรู้สึกแย่ใน 2 เรื่องนี้อย่างนี้


คนทุกคนต้องมีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนสนิท เพื่อนรัก เพื่อนในกลุ่ม เพื่อนข้างบ้าน และเพื่อนในแบบต่างๆ ที่ต่างกันไป


ฉันไม่ได้มีเพื่อนมากนัก ฉันให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าจำนวนตัวเลข ดังนั้นช่วงชีวิตที่ผ่านมา มีเพื่อนที่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายชีวิตของฉันไม่มากมายนัก


พวกเราเดินกันมาในเส้นทางสายชีวิต ผ่านเส้นทางมามากมาย ทั้งราบรื่น และขรุขระ แต่เมื่อเส้นทางถึงทางแยก พวกเราตัดสินใจที่จะแยกกันเดินไปตามเส้นทางสายชีวิตของตัวเอง หลังจากที่กอดคอ สร้างความเข้มแข็งให้กันและกันมานานพอสมควร


หลังจากที่เราแยกกันเดินไปทางของแต่ละคนแล้วเหตุการณ์ร้ายๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย บางเหตุการณ์ฉันไม่สามารถจะรับมือกับมันได้คนเดียว ฉันยังต้องการเพื่อนมาคอยเป็นกำลังใจ มาช่วยคิดหาทางออก มันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันยังอ่อนแออยู่ ถ้าฉันยังต้องการจะเดินต่อไป ฉันต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน ต้องสู้มากกว่านี้


หลายปีที่ผ่านมา มันเป็นภาพที่ชินตาที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เวลาไหน จะมีเพื่อนคนนี้อยู่ข้างๆ เสมอ แต่วันนี้มันไม่ใช่ ไม่มีเค้ามายืนอยู่ข้างๆ อีกแล้ว ช่วงที่ผ่านมา เหมือนว่าฉันยังทำใจยอมรับกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ ต่อจากนี้ไป จะไม่มีภาพที่เคยชินอย่างเก่าอีกแล้ว พอคิดมันก็รู้สึกแย่ ว้าเหว่ วังเวง


แต่ในวันนี้ ฉันกลับมาเป็นคนเก่าแล้ว ไม่รู้สึกแย่เหมือนวันวานที่ผ่านมา กลับมาเดินได้อย่างมั่นคงกับสองขาที่เข้มแข็งของฉันได้แล้ว ไม่ใช่ว่าฉันทำใจได้ หรือรู้สึกชาชินกับเรื่องที่ผ่านๆ มาหรอกนะ แต่ฉันเข้าใจแล้วตังหากล่ะ ว่าเพื่อนยังไงก็ยังเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะห่างกันมากถึงเพียงไหน ถ้ามิตรภาพที่เราให้กันยังคงอยู่ มันก็จะยังคงอยู่ตลอดไป


 ถึงแม้พวกเราจะเจอกันน้อยลง คุยกันน้อยลง แต่นั่นไม่ใช่ว่าเราแคร์กันน้อยลง รักกันน้อยลงซะหน่อย พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ยังคุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนเก่า ทุกอย่างยังเหมือนที่เคยเป็นเมื่อวันวาน และก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
 

::เวลากับการตัดสินใจ::


หลายวันที่ผ่านมา ฉันได้นั่งคิด นั่งทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต และอีกหลายๆ เรื่อง


เรื่องบางเรื่อง เมื่อเรามีเวลามาก เราก็สามารถที่จะตัดสินใจได้ดี แต่บางที เวลามีเวลามากๆ ให้นั่งคิด นั่งตัดสินใจ ผลสุดท้ายอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่า คำตอบที่ต้องการจริงๆ มันคืออะไร


สำหรับฉัน ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบใช้เวลามากๆ ในการตัดสินใจ เหมือนว่า ถ้าฉันมีเวลามากๆ แล้ว มันยิ่งกดดัน เหมือนโดนบีบ มันยิ่งทำให้รู้สึกแย่ และถ้าสิ่งที่ฉันตัดสินใจไปแล้วออกมาไม่ได้ดั่งหวัง มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บช้ำไปมากกว่าเก่า


แต่การมีเวลาน้อยนิดใช่ว่าจะดีเสมอไป มันทำให้ฉันไม่รู้สึกกดดันมากก็จริง แต่ฉันก็ไม่สามารถรู้เลยว่า สิ่งที่ฉันไม่ได้นั่งคิด นั่งไตร่ตรองให้ดีเนี่ย ผลจะออกมาเป็นหัวหรือก้อย ถ้าออกมาเป็นหัวก็รอดตัวไป แต่ถ้าออกมาเป็นก้อยล่ะจะทำยังไง เพราะครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว กับการตัดสินใจในเรื่องนี้ของฉัน

::Ayutthaya Trip::


พระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าที่มีประวัติยาวนานของประเทศไทย ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกในการไปเยือนจังหวัดนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปด้วยตัวเอง


เมื่อวานท้องฟ้าแจ่มใส ทั้งๆที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก แต่เอาน่า โชคดีแค่ไหนที่ฟ้าฝนเป็นใจสำหรับทริปเล็กๆ ของเด็กตาดำๆ อย่างฉัน หลายวันที่ผ่านมา ฉันมีพระจันทร์เป็นเพื่อนคู่คิด แต่สำหรับวันนี้ฉันมีพระอาทิตย์เป็นเพื่อนยามเดินทาง เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน พระอาทิตย์ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันเสมอ สาดแสงลงมา ไม่นึกถึงจิตใจของเพื่อนตัวน้อยๆ ที่เดินอยู่ข้างล่างเอาซะเล้ย


ไปถึงอยุธยาด้วยรถ ป.1 เวลาประมาณ 11 โมง แดดกำลังดีเชียวล่ะ ลงจากรถ ฉันก็ต่อรถรับจ้างไปวิหารมงคลบพิตรด้วยราคา 30 บาท ที่จริงแล้ว ฉันว่าไอ้ 30 บาทที่จ่ายไปเนี่ย มันแพงอยู่เหมือนกันนะ เพราะหลังจากที่ฉันลงจากรถแล้ว ระยะทางที่ขับมาเนี่ย ขาทั้งสองข้างของฉันสามารถที่จะเดินไปได้ด้วยตัวเอง แต่อย่างว่า ถนนหนทางก็ไม่ค่อยรู้ ครั้งนี้เลยงูๆ ปลาๆ เสียค่ารถไปเยอะเหมือนกัน


ถึงหน้าวิหารพระมงคลบพิธ ความงดงามของวิหารแห่งนี้ไม่ว่ากี่ปีผ่านมาก็ยังสวยงามเช่นเดิม ทุกๆ ครั้งที่มาอยุธยา ฉันกับครอบครัวต้องมาไหว้พระที่วัดนี้





ก่อนเดินเข้าไปข้างใน ฉันได้เจอคุณตาคนนึง กำลังนั่งขายงานฝีมืออะไรซักอย่าง ก่อนจะออกจากที่นี่ ฉันเลยอุดหนุนคุณตาซะหน่อย ฉันกับเพื่อน ซื้อมาคนละตัว ตัวละ 20 บาท คุณตาคนนี้รู้สึกว่าจะตาไม่ดีด้วย เดินก็ไม่ค่อยไหว เฮ้อ ... ลองคิดดูสิ ถ้าแก่ตัวไปฉันต้องมานั่งขายของอะไรอย่างนี้ มันจะเป็นยังไง ทำไมนะ ลูกหลานถึงไม่ดูแล ทั้งๆที่ก็เป็นคุณปู่ คุณตา หรือคุณพ่อของตัวเอง ทำไมถึงทิ้งคนแก่กันอย่างนี้ เด็กต้องการคนดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการคนอบรบสั่งสอน แต่สำหรับคนแก่ พวกท่านขอเพียงคนเอาใจใส่ท่าน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


ออกจากวิหารพระมงคลบพิธ ข้างๆ เป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ ค่าเข้าชม 10 บาทสำหรับคนไทย ข้างในวัด ก็เป็นพวก ตัวโบสถ์ เจดีย์ เก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่จากร่องรอยของการเสียกรุงครั้งที่ 2





ออกจากวัพดระศรีสรรเพชญ์ ก็เดินไปเดินมาแถวๆ นั้นซักพัก เพราะเริ่มงงกับแผนที่ ไม่รู้จะไปทางไหนดี เลยถามคุณป้าหน้าวัดพระรามว่าจะไปเช่าจักรยานได้ที่ไหน คุณป้าใจดี พูดเพราะมาก เพราะตั้งแต่จากกรุงเทพมาถึงอยุธยา ฉันไม่ค่อยสบอารมณ์นักกับคำพูดของผู้คนที่เข้ามาในทริปครั้งนี้ คนไทยที่เป็นคนยิ้มง่าย อ่อนหวาน มีน้ำใจ นับวันมันยิ่งจะจางหายไป ช่างหายากเหลือเกิน


เดินๆ ๆ และเดิน ไปถึงวัดราชบูรณะ ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่าวัดนี้ชื่อวัดอะไร ฉันชอบวัดนี้เหลือเกิน มันสวยมาก สวยจริงๆ ไม่รู้นะ คนอื่นอาจจะคิดว่ามันก็ธรรมดา เหมือนกันวัดอื่นๆ ทั่วไป แต่สำหรับฉัน ฉันประทับใจวัดนี้ที่สุด





เดินไปถึงหน้าวัดราชบูรณะ เหลือจักรยานอยู่ 2 คัน แล้วมันสูงด้วยสิ ไอ้ฉันก็ตัวไม่ได้สูงอะไร เดี๋ยวขี่ๆ ไปเกิดต้องเบรกกระทันหัน เดี๋ยวจะล้มไปซะก่อน เลยปรึกษากันยัยเพื่อนที่หนีบไปด้วยว่า จะขี่ไม่ขี่ ผลออกมาคือไม่เอาดีกว่า เพราะความสูงของเราทั้งคู่ไม่ได้ต่างอะไรกันซักเท่าไหร่ และทักษะในการขี่จักรยานในถนนใหญ่ก็มีไม่มากด้วยกันทั้งคู่ เราเลยตัดสินใจ ข้ามถนนเพื่อไปยังถนนนเรศวร และจะต่อรถไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล


วัดใหญ่ชัยมงคล ห่างออกไปจากตัวอุทยานประวัติศาสตร์พอสมควร พอดีมีรถรับจ้างขับคล้ายๆรถตุ๊กตุ๊ก ผ่านมา แล้วเค้าคิด 50 บาทซึ่งมันถูกกว่าคันที่ผ่านๆ มาฉันเลยตัดสินใจขึ้นคันนี้นี่แหละ เพราะลุงคนขับแกดูเทคแคร์ดี ระหว่างทางลุงก็แนะนำนู้น แนะนำนี่ เอาแผนที่(ดีๆ)มาให้ดู มีรูปวัดต่างๆ คือลุงแกเป็นมืออาชีพ ขับรถส่งฝรั่งเป็นประจำ


ทีแรกฉันคิดแค่ว่าให้ลุงไปส่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลก็พอ แล้วฉันจะเดินไปวัดพนัญเชิง ซึ่งห่างจากวัดใหญ่ชัยมงคลไปเพียง 1 กิโล (ถึงแม้ 1 กิโลที่ว่าจะไกลสำหรับเพื่อนๆ แต่นักเดินตัวยงอย่างฉัน มันจิ๊บจ๊อยมาก) แต่ลุงแกแนะนำวัดดีๆ ในตัวเมืองที่ฉันเพิ่งออกมา และลุงแกบอกว่ารถแถวนี้แพง ไอ้เราก็มือใหม่ ก็เชื่อลุง เลยเหมาให้ลุงขับไปส่งที่วัดภูเขาทอง


เอ้า กลับมาที่วัดใหญ่ชัยมงคลก่อน ในวัดใหญ่ชัยมงคลนี้ เป็นวัดที่ยัยเพื่อนคนนี้ของฉันอยากมามาก ในวัดมีพระขาวนอนองค์ใหญ่ สวยงามเชียวล่ะ เดินเข้าไปข้างในยังมีเจดีย์ที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ภายในเจดีย์มีค้างคาวหลายตัวมาก เหมือนเป็นที่หลับนอนของมันอย่างไงอย่างงั้น ขอบอกค่ะ ในนั้นเหม็นมาก แล้วระหว่างทางขึ้นโบสถ์เนี่ย บันไดค่อนข้างชัน เพื่อนสาวที่หนีบไปของฉันถึงกับเข่าอ่อน ตอนลงเจ๊แกลงแบบหมดความงามไปเลยล่ะ แต่ฉันว่า มันก็ไม่ได้ชันอะไรมากขนาดนั้นซะหน่อยเลยนะ !






 


ออกมาจากวัดใหญ่ชัยมงคล มุ่งหน้าไปวัดภูเขาทอง วันนี้ห่างจากตัวอุทยานไกลกว่าวัดใหญ่ชัยมงคลอีก ตอนแรก ไอ้ฉันก็กะว่า มาวัดนี้แล้วจะเดินไปที่วัดหน้าพระเมรุเอง เพราะดูจากแผนที่แล้ว มันไม่ไกลอะไรมากนัก ฉันและเพื่อน เดินกันได้สบายๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ระยะทางที่ฉันคาดเดาไว้ไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด ถ้าปั่นจักรยานน่ะพอไหว แต่ท่าจะให้เดินเนี่ย คงไม่ต้องทำอะไรกิน ไปถึงวัดหน้าพระเมรุก็ได้เวลากลับบ้านพอดี





วัดภูเขาทอง สง่า สวยงามถึงแม้จะน้อยกว่าในรูปก็ตาม วัดนี้เป็นวัดเงียบๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ อาจจะเพราะมันอยู่ไกลออกมาจากตัวอุทยาน ต้องเหมารถมา หรือไม่ก็ปั่นจักรยานมากัน บันไดที่นี้สูงและชันมาก ยัยเพื่อนสาวฉันเซย์กู๊ดบาย ตั้งแต่เห็นทีแรกแล้ว จะให้ฉันขึ้นไปคนเดียวก็คงไม่เอา เพราะบันไดไม่ใช่น้อยๆ กว่าจะขึ้น กว่าจะลงก็หมดเวลาเที่ยวที่อื่นพอดี ฉันเลยแค่เดินรอบๆ เท่านั้น



 


ออกจากวัดภูเขาทอง ตรงไปยังวัดไชยวัฒนาราม วัดนี้เป็นจุดสิ้นสุดที่ฉันจะเหมารถของลุง ให้ตายยังไง ฉันก็จะไม่เหมาต่อ เพราะค่ารถของลุงได้ทำร้ายจิตใจสองสาวอย่างฉันกับเพื่อนเหลือเกิน อันที่จริงราคาที่ลุงตั้งไว้มันก็ไม่แพงอะไรหรอกนะ แต่ฉันต้องการเซฟงบ อะไรที่พอจะเดินได้ก็อยากจะเดินมากกว่า ฉันคิดว่า การที่เราไปเที่ยวแต่เอาสบายจนเกินไป มันอาจขาดรสชาติของการเที่ยวในแบบของฉันไปอย่างนึง


วัดไชยวัฒนาราม หลายคนบอกที่นี่สวย สำหรับฉัน วัดนี้ยังไม่โดนใจเท่ากับวัดราชบูรณะ แต่มีอยู่มุมนึงที่ฉันเห็นแล้ว ฉันชอบมาก แต่เสียดายรูปที่ถ่ายมามีสาวญี่ปุ่นติดมาด้วย แต่ฉันก็คิดซะว่า มันได้อารมณ์ของรูปอีกแบบนึง วัดนี้ติดแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเจ้าพระยาวันนี้น้ำเยอะมาก อาจจะเพราะวันที่ผ่านๆ มาฝนตก






 


ออกจากวัดไชยวราราม ฉันและเพื่อนเดินออกมาถึงสี่แยกใหญ่ ฉันไม่รู้ว่ามันเรียกว่าสี่แยกอะไร แต่กว่าจะเดินออกมาถึงสี่แยกนี้ หนทางก็ไกลพอสมควร พอดีตรงสีแยกมีเซเว่น เลยแวะเข้าไปหาน้ำหาท่าดื่มแก้ร้อนไปก่อน และก็โชคดีอีกที่มีรถสองแถวผ่านมาพอดี ฉันกับเพื่อนรีบกระโจนขึ้นรถทันที ค่ารถสองแถวที่นี่ถูกเหลือเกิน ถ้าฉันจ้างลุงต่อคงต้องจ่ายกันคนละหลายสิบ แต่นี่ฉันจ่ายแค่ 7 บาทเท่านั้น คุ้มจริงๆ


นั่งรถสองแถวมาลงที่วัดราชบูรณะวัดที่ฉันชอบที่สุดในอยุธยา ที่ลงที่นี้เพราะฉันกับเพื่อนตั้งแต่มายังไม่ได้ถ่ายรูปคู่เลย เลยเดินหาเหยื่อแถวๆ นั้นๆ ข้ามถนนไปวัดมหาธาตุ มีทัวร์ญี่ปุ่นกำลังเยี่ยมชมวัดอยู่ ฉันเลยเดินเข้าไปในวัดมหาธาตุเพื่อหาเหยื่อถ่ายรูปและวิวสวยๆ เหมือนเดิมค่ะ ค่าเข้าชม 10 บาท






  


ในที่สุดฉันก็เจอเหยื่อ สาวญี่ปุ่นใจดีถ่ายรูปให้เรา ต้องขอบคุณมาก ถึงแม้รูปอาจจะออกมาไม่สวยอย่างที่เราต้องการ แต่อย่างน้อย ฉันและเพื่อนก็ได้ถ่ายรูปคู่ เป็นการยืนยันว่า เรามากันสองคนนะ
เดินจากวัดมหาธาตุไปยังวินรถตู้กลับกรุงเทพ ระยะทางก็ไกลพอสมควร แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว บอกแล้วไงล่ะคะ ว่าฉันน่ะนักเดินตัวยงค่ารถตู้กลับบ้านอีกคนละ 60 บาท แพงกว่าขามาเพียง 5 บาท รถไปจอดที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถือว่าเร็วนะคะ
ก่อนกลับบ้านแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่อนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วก็ขึ้นบีทีเอส เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภา
 



สำหรับทริปนี้ อาจจะเป็นทริปสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน ไปครั้งนี้ปลดปล่อยอะไรทุกข์ๆไปหลายอย่าง อาจจะเหนื่อยบ้าง หลงบ้าง กลับมาตัวดำขึ้นบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกดีที่ได้ไป


ต้องขอบคุณฟ้าฝนที่เป็นใจ ขอบคุณพระอาทิตย์เพื่อนยามเดินทางของฉัน ขอบคุณยัยเพื่อนสาวที่ฉันหนีบไปด้วย และสุดท้าย ขอบคุณวันพฤหัสบดีที่ทำให้ฉันมีทริป ที่สนุกๆ อย่างนี้อีกครั้ง

::แง่ดี-แง่ร้าย::


เมื่อวานฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าคนนึงค่ะ ไม่บ่อยนักที่เพื่อนเก่าของฉันคนนี้จะโทรมาปรับทุกข์กับฉัน เพราะไม่บ่อยนักอีกเช่นกัน ที่เพื่อนเก่าของฉันคนนี้จะมีเรื่องทุกข์เข้ามาในชีวิต เพราะเค้าคนนี้เป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ บ้างสิ่งที่ช่างโหดร้าย แต่เค้าก็ยังมองว่ามันสวยงาม


แต่ในวันนี้ เพื่อนเก่าของฉันคนนี้โดนคำว่าการมองโลกในแง่ดีทำร้ายอย่างร้ายกาจ มันเลยทำให้ฉันคิดว่า การที่เรามองโลกในแง่ดีเสมอไป ก็ใช่ว่ามันจะดีเสมอไปเช่นกัน


หลายครั้งหลายหน ที่คนมองโลกในแง่ดีถูกทำร้ายจากสิ่งมีชีวิตรอบข้าง แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไร และยังคิดที่จะมองโลกในแง่ดีต่อไป ถึงแม้ผู้คนเหล่านี้จะหายากในโลกยุคปัจจุบัน แต่ก็มีมากอยู่เช่นกัน


หลายครั้งหลายหน ที่คนมองโลกในแง่ร้ายถูกตำหนิติเตียนในการมองโลกและการใช้ชีวิตของเค้า แต่การมองโลกในแง่ร้ายก็เหมือนกับการมีเกาะกำบังอย่างหนึ่ง ทำให้คนเราไม่ไว้ใจใครมากเกินไป ทำให้คนเราไม่เจ็บมากเมื่อโดนใครรังแก เพราะคนเหล่านี้มักจะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับสถาณการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ดี


แต่มันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดถ้าคุณอยู่ระหว่างคำว่ามองโลกในแง่ดีและมองโลกในแง่ร้าย มันจะเป็นส่วนผสมที่เหมาะสมถ้าคุณนำทั้งสองสิ่งอย่างละครึ่งมาผสมรวมกัน ถึงแม้มันจะยากอยู่ซักหน่อยที่จะทำได้อย่างนี้ แต่ฉันก็เชื่อว่าคนเราสามารถปรับเปลี่ยนกันได้ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่มันก็จะคุ้มค่าถ้าคุณทำได้นะคะ


สำหรับฉัน ตอนนี้ฉันก็พยายามปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างในตัวฉัน ให้ดูลงตัวมากขึ้นค่ะ

::Moonlight in the Darkness::


ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบแสงของพระจันทร์ยามค่ำคืน แสงของมันไม่สาดแสงแรงอย่างแสงของพระอาทิตย์ แสงของพระจันทร์ที่มอบให้ เป็นแสงที่กำลังพอดี น่ามอง น่าชวนฝัน ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าปกคลุมด้วยความมืดมิด มันสะท้อนถึงความเงียบเหงา วังเวง และอ้างว้าง แต่ก็มีแสงของพระจันทร์ที่ช่วยทำให้ความเหงายามค่ำคืนลดน้อยลง


พระจันทร์เป็นแสงส่งทางเมื่อคนเราอยู่ในความมืด หันซ้าย หันขวาเจอแต่ความว่างเปล่า แต่เมื่อเรามองไปบนฟากฟ้า เราจะเจอพี่สาวคนสวยอย่างพระจันทร์ ที่มอง อย่างไรก็สวยไม่สร่างเป็นเพื่อนยามเหงาเสมอ


แสงของพระจันทร์ทำให้ฉันคิดอะไรต่างๆได้มากมาย ฉันเลือกพระจันทร์เป็นเพื่อนคู่คิด และสำหรับพระอาทิตย์เป็นเพื่อนยามเดินทาง ทำไมถึงเลือกพระจันทร์เป็นเพื่อนคู่คิดน่ะเหรอ ก็เพราะว่า พระจันทร์ดูสงบ เหมือนเป็นผู้ฟังที่ดี อ่อนโยนและดูจริงใจ เห็นไหมล่ะ พระจันทร์เหมาะที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดได้ดีแค่ไหน สำหรับเพื่อนยามเดินทางของฉัน เขาออกจะลุยๆ กล้าหาญ แข็งแรง สามารถคุ้มครองฉันได้ เขาไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่หรอกนะถ้าฉันจะไปปรับทุกข์กันเขา


ฉันก็ไม่รู้ว่าพระจันทร์จะเหนื่อยมากเพียงใดที่ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่เป็นเพื่อนยามค่ำคืนของพวกเรา ไม่รู้ว่าพระจันทร์จะเหงาบ้างรึเปล่าที่ต้องอยู่ในความมืดทุกๆ คืน บางวันฉันเป็นเขาเหนื่อยไปหลบอยู่หลังก้อนเมฆเป็นเวลานานแสนนาน แต่แสงของพระจันทร์ก็ยังสาด ส่องลงมาเป็นเพื่อนของคนเหงาๆ ในยามค่ำคืนอย่างฉันเสมอ


ฉันชอบความเหงา ชอบแสงของพระจันทร์ ฉันชอบเวลาแบบนี้ มันทำให้ฉันได้นั่งคิดไตร่ตรองในหลายๆสิ่ง ทั้งสิ่งที่ฉันเคยทำลงไปในอดีต สิ่งที่ฉันกำลังทำในปัจจุบัน และสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำในอนาคต ขอบคุณความเหงาที่สร้างแรงบันดาลใจ และขอบคุณพระจันทร์ที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด ขอบคุณ

::ความฝัน::


ความฝันกับความจริงมันไม่ได้อยู่ห่างกันซักเท่าไหร่เลยนะคะ เราสามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่นในความฝันนั้น เชื่อมั่นในตัวเองและกล้าที่จะเผชิญกับความจริง


บางคนบอกว่าอย่าฝันให้มันเกินตัวนัก ฉันว่าไม่จริงหรอกค่ะ เราสามารถฝันได้ จะฝันสูงแค่ไหน ไม่เคยมีคำว่าเกินตัว เราสามารถไปถึงยังฝั่งฝันนั้นได้ถ้าเราศรัทธาและมีความพยายามเพียงพอ ฝันของบางคนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเกินเอื้อมของคนๆ นั้น แต่ในทางกลับกัน ฝันที่เกินเอื้อมของใครบางคน ก็เป็นฝันที่ใกล้เอื้อมของอีกคนเช่นกัน ต้องพยายามค่ะ กล้าๆ หน่อย แล้วฝันที่เค้าว่ากันว่าเกินเอื้อม มันจะกลายมาเป็นความฝันที่ใกล้เอื้อมเอง


สำหรับฉัน ความฝันที่เค้าว่ากันว่ามันเกินเอื้อมก็มีมากมาย แต่ฉันไม่เคยท้อถอยกับฝันที่ฉันศรัทธา มันอยู่ไกลนะคะ ฝันเนี่ยน่ะ แต่ฉันไม่เคยคิดว่ามันเกินเอื้อมเลย ค่อยๆเดินไป พักบ้างเมื่อเหนื่อย เติมพลังกับสิ่งรอบข้างแล้วก็ใส่รองเท้าเดินต่อไป มันอาจจะช้านะคะ แต่มันก็มั่นคง การก้าวย่างในแต่ละครั้งมีความหมายค่ะ


ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่รู้ว่าฝันนี้ของฉันจะเป็นความจริงเมื่อไหร่ แต่ความศัรทธาในความฝันตั้งแต่ตอนแรกที่ปลูกฝันจนถึงบัดนี้ที่ฝันของฉันเติบโตขึ้นมาทีละเล็ก ทีละน้อยก็ไม่เคยมีน้อยลงไป ระหว่างทางเดินอาจจะเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย จงศรัทธาในสิ่งที่เราหวัง และพยายามทำในสิ่งที่เราทำให้ดีที่สุด ฉันเชื่อว่าความฝันของทุกๆคน จะกลายเป็นความจริงที่สัมผัสได้อย่างแน่นอนค่ะ

::ค้นหาตัวเอง::


สับสน ว้าวุ่น ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมนะฉันถึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ชอบอะไร ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ บางทีรู้สึกว่า นี่แหละตัวฉัน ใช่เลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ใช่ มันเป็นอย่างนี้มาหลายครั้งหลายครา


ฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่เคยถึงร้อย ทำถึงเก้าสิบเก้า ก็ล่วงมาอยู่ที่สูง วิ่งจนจะถึงเส้นชัยแล้ว แต่ก็เป็นลมไปซะก่อน มันไม่ถึงซะทีไอ้จุดหมายที่วางไว้เนี่ย ฉันเกลียดความอ่อนแอในตัวฉันจริงๆ


ภายนอกฉันอาจจะดูเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น เป็นคนๆ หนึ่งที่ห้าวๆ ลุยๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงด้านเดียวที่ทุกคนเห็น มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เห็นฉันในอีกด้าน ด้านที่ฉันพยายามปกปิดมันมาโดยตลอด

ฉันอยากปรับปรุง อยากแก้ไขความอ่อนแอที่ฉันมี ถึงแม้เท้าฉันเหมือนจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่ใจของฉันกลับเต้นอ่อนลงๆ ทุกๆ วัน ซักวันนึง มันคงจะหยุดเต้นไปในที่สุด ถ้ายังอ่อนแออยู่อย่างนี้


ฉันกำลังจะลาออกจากมหาลัยเพื่อไปเรียนที่มหาลัยแห่งใหม่ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงอยากออกจากสถาบันแห่งนี้ซะเหลือเกิน ไม่ใช่มันไม่ดีนะแต่มันเป็นความรู้สึกที่ฉันก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เช่นกัน


ฉันยังไม่รู้เลยว่าสถาบันแห่งใหม่ที่จะไปเข้าเนี่ยมันจะทำให้ฉันรู้สึกดีหรือแย่ไปกว่านี้ ถึงแม้จะผ่านมาเพียง 4 เดือน แต่เป็น 4 เดือนที่มีค่า ได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ความผูกพันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ แต่เป็นความผูกพันที่มั่นคง


วันนี้ฉันเพิ่งบอกเพื่อนที่ฉันรู้สึกดีมากที่สุดในสถาบันแห่งนี้ว่าฉันจะลาออก ฉันไม่กล้าบอกเค้า ฉันไม่อยากให้เค้าเสียใจ จะว่าไปแล้ว ฉันและเค้าก็ไม่ได้สนิทกันอะไรนักหนาในช่วงหลังๆ แต่อย่างที่บอกไว้ มันเป็นความผูกพันที่มั่นคง เราสองคนมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนๆ กัน ฉันไว้ใจและเคารพเพื่อนคนนี้มาก ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม

::Finally, We Can Meet You Guys Again::


หลายวันที่ผ่านมาไม่ได้เขียนไดอารี่ออนไลน์เลยกลับไปนั่งเขียนใส่สมุดไดอารี่เหมือนก่อน รู้สึกดีนะคแต่มันก็เหมือนเราขาดอะไรไปบางอย่าง ขาดกำลังใจดีๆ ผ่านคอมเมนต์ ไม่สามารถไปให้กำลังใจที่ไดของคนอื่นได้ 

อืม.. มันเหมือนชีวิตขาดสีสันน่ะ 


หลังจากที่เคว้งอยู่หลายวัน ตอนนี้หาบ้านหลังใหม่เจอแล้วคือที่นี่ ถึงแม้จะชื่อใหม่แต่อะไรหลายๆ ยังเหมือนเก่า จะว่าบ้านใหม่ก็ไม่ใช่ที่ แค่เราย้ายบ้านมาแต่สมาชิกภายในครอบครัวยังเหมือนเดิม ยังเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนเดิม ถึงแม้บางคนยังย้ายสัมภาระมาไม่หมด บางคนหลงทางหาทางมาบ้านหลังนี้ไม่เจอ แต่ไม่นานพวกเค้าก็คงจะตามมา คิดถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกๆ คนมากๆ 


เมื่อก่อนเปิดเน็ตเพื่อที่จะมาอัพไดแต่พอช่วงที่ผ่านมา ไม่มีไดฯให้อัพ ก็เหงามากๆ เปิดมาไม่รู้จะทำอะไร เปิดไม่นานก็ปิด ตอนนี้หาทางมาบ้านใหม่เจอแล้ว ดีใจมากๆ 


สุดท้ายของวันนี้ ขอขอบคุณงามๆ สำหรับพี่เกม พี่สาวใจดี ที่ทำให้ฉันได้เปิดประตูเข้าบ้านหลังใหม่แห่งนี้อีกครั้ง ตอนนี้ก็คงเป็นเวลาตามหาเพื่อนบ้านเก่าๆ ให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง