Showing posts with label something about love. Show all posts
Showing posts with label something about love. Show all posts

::Love Actually::


Dealing with life is hard, we all know. But sometimes we have to admit that dealing with love is harder, much more harder. It is not just about you, not just about yourself, but also your partner, your better half.

I believe love is the foundation of everything in the world. You love people, so you do good to them. You love animals, so you raise them well. You love your dream job, so you try hard to get it. You love the nature and other stuffs, so you protect them as good as you can. Although I got hurt from this feeling; love, but I always feel good when people talk about love, always enjoy reading love novels, always have positive thought about love. Because all experiences I've passed I don't think it is love that hit me hard, but people.

I am single and very proud to be and don't have plan to get in a relationship in this year. However, don't judge me from that sentence. To be proud of being single and independent doesn't mean I don't believe in love, because actually I do. Someday in the future I will settle down, I will cuddle him when the weather is like today; cold and cloudy. 

I still wait for my man; my future better half. A man who will be beside me, who will go to the North, and the South, and the East, and the West with me. A man who will make me laugh out loud, who will hug me tightly when something bad happens. A man who doesn't care how many cups of coffee I have a day, who doesn't mind to have ugly but happy self-portrait with me. A man who takes care himself well, who is responsible for his words and duties. A man who works hard and loves me hard as well.

Love is not always beautiful, but at least it is still beautiful.


"Have I told you lately that I love you?
Have I told you there is no one else above you?
Fill my heart with gladness,
Take away all my sadness,
Ease my troubles that is what you do."

::Dear Tao::


This is Tao, my closest cousin. She is the one who knows me very well. And at this point, I would like to thank her that she never feel annoyed with who I am. Or maybe she does. Anyway, she is very kind person. She is a good listener. And absolutely, she is my brain.

After living in the US for 4 years, she's already decided to go back home for a break. I was pretty surprised when she told me because it seemed like she has lived in the US happily. She has a good job, a good companion to hang out with, a good boyfriend whom she can rely on. Everything looks perfect, right? But a visa problem ruined everything. However, it is good for her to take a break, to spend time with family and friends.

I am going back home in the beginning of December either, to celebrate my mom's birthday, renew passport and visa, see dentist, and spend some precious time with family, dogs, and friends.

These days, I feel so tired and bored for no reason. I should enjoy my free time. I should go out and take pictures. I should go somewhere faraway from the city before I leave. I should do this and I should do that, but I do nothing eventually.

Perhaps, it is because of weather.
Perhaps, it is because of society.
Perhaps, it is because of places.
Perhaps, it is because of money.
Or perhaps, it is because of myself.

And every time when I can't find out the answer for this kind of question, mom and Tao are two people whom I always think of.

::พรหมลิขิต::


คุณเชื่อในพรหมลิขิตกันบ้างไหมคะ?

สำหรับฉันเอง, ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่เพียงไม่เคยมีคำถามประเภทนี้อยู่ในความคิดเลยก่อนที่จะมาพบกับเขา


ฉันห่างหายจากความรักมานานหลายปีแล้ว นานพอที่จะทำให้ตัวเองคิดว่าหัวใจดวงนี้อาจด้านชา หรือไม่ก็เคยชินกับการอยู่คนเดียวไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เดินเข้ามาทำให้ก้อนเนื้อสีแดงก้อนนี้ เกินการสั่นไหวเล็กๆ จับจังหวะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง


มันไม่ใช่รักแรกพบหรืออะไรพรรณนั้น ในความจริงแล้วมันอาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของความชอบและประทับใจ ทุกวันนี้ เราอยู่ในขั้นตอนของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านพ้น ฉันพบว่ามันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เรามีความคิดในทิศทางเดียวกัน อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็มากพอที่จะทำฉันสนใจในความเป็นตัวเขามากขึ้น


ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นพรหมลิขิต แต่หลายๆ อย่างทำให้ฉันแอบรู้สึกว่ามันอาจจะใช่ เรามีกิจกรรมหลายๆ อย่างคล้ายกันซึ่งเราน่าจะเคยเดินเฉียดกันไปมา อีกทั้งที่ทำงานเก่าของฉันก็อยู่ใกล้กับเขาเสียจนไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายเราก็ไปเจอกันในที่ๆ ไม่น่าจะเจอกันได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นเพียงหนึ่งในเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งของชีวิต เพราะถ้ามันเป็นพรหมลิขิตพื้นที่ในหัวใจของเขาคงไม่มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว

เหมือนเช่นวันนี้...

::MJ's Day::



ตอนแรกตั้งใจจะมา เขียนเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ แต่คิดไปคิดมาไม่เขียนดีกว่า เพราะเค้าเขียนกันเยอะแล้ว! มาอัพเดทเรื่องราวใกล้ตัวดีกว่า
...........................................

วันที่ 21 กันยายน 2541 เวลา 08:21 นาฬิกา
เด็กชายคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลก ด้วยน้ำหนัก 3800 กรัม ซึ่งต่างจากพี่สาวของเค้ามากๆ (พี่สาวต้องอยู่ตู้อบตอนเกิด) เด็กชายคนนี้ได้เติบโตเรื่อยๆ ผ่านมาจนวันนี้มีอายุครบ 8 ปีเต็ม เป็นเด็กชายที่เป็นสีสันของที่บ้าน ถ้าไม่มีเด็กชายคนนี้ อุณหภูมิภายในบ้านคงเดือดมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน่าดู

หลากหลายเหตุการณ์ ที่ฉันรู้สึกสงบลงเพราะเห็นหน้าเด็กคนชายคนนี้ มีอีกหลายครั้งเช่นกันที่ เวลาฉันรู้สึกแย่ก็จะมีไอ้เด็กคนนี้มาอยู่เป็นเพื่อน มานอนข้างๆ ชวนคุยนู้น คุยนี่ให้ฉันรู้สึกดีขึ้น เป็นเด็กที่มีความคิดแก่เกินวัย เวลาอยู่ด้วยไม่เคยรู้สึกว่าอยู่กับเด็กวัย 8 ขวบ หลายๆ ครั้งคำพูดที่ออกจากปากเด็กคนนี้ทำให้ฉันคิดอะไรให้กับชีวิตได้เยอะขึ้น บางครั้งฉันคิดว่าตกลงใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่ 

เหมือนว่าอายุ ระหว่างฉันกับเค้าจะต่างกันมาก ใช่! ฉันก็เคยรู้สึกอย่างนั้นตอนที่เค้าเพิ่งเกิด แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย อาจจะเพราะเค้าเติบโตมากับผู้ใหญ่ ไม่มีเด็กรุ่นเดียวกันให้ใกล้ชิด เลยทำให้ความคิด คำพูด การกระทำ เลยดูว่าแก่กว่าอายุจริงๆ ถ้าใครเห็นคงไม่คิดว่านี่เด็กอายุ 8 ขวบแน่ๆ และที่สำคัญตัวก็จะสูงเท่าฉันอยู่แล้ว >.<   

ณ ตอนนี้ ทุกครั้งที่จะทำอะไรลงไปฉันต้องคิดถึงอนาคตของน้องเสมอ กลัวว่าถ้าฉันพลาดไปแล้วน้องจะลำบากเพราะก็มีกันอยู่แค่นี้ พ่อแม่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน น้องก็ยังเด็ก ภาระหลายๆ อย่างก็มีให้ต้องทำ ต้องแก้ไข หลายๆ คนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมต้องทำอย่างนี้ แต่บอกตรงๆ ว่า เมื่อมีคนซักคนที่เรารักเค้าจริงๆ ที่เราต้องดูแลเค้าอย่างดีที่สุด วันนั้นก็คงจะเข้าใจ เหมือนในวันนี้ฉันก็เข้าใจแม่มากขึ้น ทำไมนะแม่ต้องบ่น ทำไมนะแม่ต้องห้าม เพราะความเป็นห่วง เพราะความกังวล กลัวนู้นนี่ต่างๆ นาๆ 

แม่เคยบอกว่า น้องเป็นเด็กที่ถ้าเลี้ยงเค้าดี เค้าก็คงจะเป็นที่ดีมาก แต่ถ้าเลี้ยงไม่ดี ก็คงจะเตลิดไปเลย อันนี้เข้าใจนะ และเห็นด้วย ด้วยนิสัยน้อง และสภาพแวดล้อมอะไรต่างๆ ฉันก็จะพยายามเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด เพื่อให้เป็นเค้าเป็นเด็กที่ดี :)


Happy Birthday my lil bro .... MJ - Majam

 
...........................................

พอไม่รู้ก็อยากรู้ แต่พอได้รับรู้ก็คิดว่าไม่น่าจะไปรู้เลย ... เคยคิดอย่างนี้กันมั้ย ?

::Grandmom & NiceSis::



 
ไดอารี่วันนี้ขอมอบแด่หญิงสองคนผู้เป็นที่รักของฉัน ...
ก่อนอื่นอยากบอกว่า ตั้งใจจะมาอัพตั้งแต่วันที่ 15 ที่ผ่านมาแล้ว แต่เนื่องจากเว็บล่ม และรอจนหมดอารมณ์อัพ (ขนาดแค่คลิกขวาCopy แล้วเอามาPasteยังไม่มีอารมณ์ทำเลย!)
.
.
.
เมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 10 ปีที่คุณยายได้จากฉันไป เวลามันผ่านไปเร็วเนอะ ผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย ช่วงเวลาที่ท่านจากไปนานกว่าที่ท่านได้อยู่กับฉันเสียแล้ว
 
ตอนเด็กๆ คุณยายเลี้ยงฉันมาตลอด เพราะพ่อกับแม่มักจะกลับถึงบ้านดึก บางวันก็นอนกับยาย อยู่กับยาย และพูดได้เต็มปากว่าสนิทกับคุณยายมากกว่าแม่ ในความทรงจำวัยเด็กจำได้ว่า คุณยายเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย แต่ท่านเป็นคนมีอำนาจ เป็นที่เกรงใจของใครหลายๆ คน ช่วงตอนที่ท่านยังอยู่อะไรอย่างๆ อย่างภายในบ้านดูร่มรื่น มีความสุข อาจจะมีบ้างที่ขรุขระแต่ก็ไม่มากเท่าทุกวันนี้ พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มเงาของสมาชิกภายในครอบครัวทุกคน
 
ฉันเชื่อนะ ถ้าท่านยังอยู่ ฉันก็อาจจะไม่ได้เติบโตมาเป็นตนอย่างนี้ อย่างน้อยๆ นิสัยส่วนตัว กริยาท่าทาง ความคิดความอ่าน ก็คงจะดีกว่านี้หลายเท่า ตอนที่ท่านจากไปฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพัก ช่วงที่ฉันกำลังก้าวสู่ช่วงวัยรุ่น ฉันยอมรับว่าบางครั้งฉันรู้สึกเสียสูญ รู้สึกไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
.
.
.
สองสามวันที่แล้วไปค้น รูปตอนเด็กที่ถ่ายคู่กับคุณยาย ค้นไปค้นมาไปเจอรูปที่ถ่ายคู่กับพี่สาวคนหนึ่งเข้า เห็นแล้วก็ทำให้ฉันอมยิ้มขึ้นมา
 
นึกๆ ดูแล้วตั้งแต่เล็กจนโต เราทั้งคู่เหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆ มีเค้าที่ไหนก็มักจะมีอาหมวยคนนี้อยู่ด้วยเสมอ เราอายุห่างกันเพียง 8 เดือน อาจจะด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้เราทั้งคู่สนิทกันมากกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ไม่ใช่เราไม่เคยทะเลาะกันเลย มันก็ต้องมีบ้างตามประสาเด็กๆ จนถึงตอนนี้อาจจะไม่ได้ทะเลาะกันแล้ว แต่ก็มีบ้างที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เรามักจะพูดกันให้เคลียร์มากกว่า
  
ทุกวันนี้เค้าไม่ใช่ เพียงพี่สาวคนหนึ่ง แต่เค้าเป็นเหมือนเพื่อนที่ฉันสามารถระบายเรื่องทุกเรื่องได้ เป็นเหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีกิ่งก้านให้ร่มเงาน้องคนนี้ บางทีฉันเองยังไม่เชื่อเลยว่าวันเวลาที่ผ่านมา จะทำให้เราทั้งคู่สนิทกันได้ขนาดนี้ การที่เราเติบโตมาด้วยกันคงจะเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่ง

:::ยี่สิบนาฬิกา สามสิบเก้านาที:::


4 ปีมาแล้วสินะที่ได้อวยพรวันเกิดเค้าคนนี้ และก็ 5 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้เจอหน้าเค้าเลย มันนาน นาน นานมากๆ ....
วันนี้วันวันเกิดครบรอบ 22 ปีของเค้า ฉันพึ่งจะโทรไปหาเมื่อกี้นี่เอง
20.39 น.
ฉัน : ฮัลโหล นี่แจนะ
เค้า : ว่าไงจ๊ะ
ฉัน : Happy Birthday นะ
เค้า : ขอบคุณครับ
ฉัน : โทรมาแค่เนี้ยแหละ ไม่มีอะไร
เค้า : อ๊ะ แล้วเป็นไงบ้างเนี่ย
ฉัน : ก็เรื่อยๆอะ
เค้า : แล้วนี่อยู่ไหน
ฉัน : อยู่บ้านแหละ แล้วพี่...ล่ะ
เค้า : ขับรถอยู่
ฉัน : อ๋อ อื้มไว้ว่างๆจะโทรไปคุยใหม่ละกันนะ แค่นี้นะ
เค้า : อื้ม หวัดดีครับ
ฉัน : หวัดดีค่ะ
ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาที่สั้นมากในการสนทนา ครั้งนี้ แต่รู้มั้ยฉันรู้สึกดีใจมากๆ กับคำว่า "ว่าไงจ๊ะ" เพราะอะไร ฉันขอเก็บไว้ในใจ
บางทีฉันนึกว่าฉันกำลังฝันอยู่ เพราะหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเค้ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น
ครั้งแรกที่ได้รู้จักชื่อเค้า มันก็เปิดเรื่องบังเอิญ "เพื่อน เค้าตะโกนเรียกชื่อเค้าบนรถเมล์คันเล็กภายในซอยโรงเรียน ซึ่งฉันก็นั่งอยู่บนรถเมล์คันนั้น" (ปกติไม่มีใครเรียกชื่อเล่นเค้า จะเรียกฉายาเค้ามากกว่า และมีน้อยคนมากที่คิดว่าฉายาคือชื่อเค้า)


ครั้งแรกที่รู้วันเกิดเค้า มันก็เป็นเรื่องบังเอิญ "เพื่อนฉันอยู่ชุมนุมกองทะเบียนนักเรียนตอน ม. 1 และนี่เป็นที่มาของวันเกิดเค้า"


ครั้งแรกที่ได้เบอร์โทรศัพท์เค้า มันก็เป็นเรื่องบังเอิญ "ฉันเก็บสมุดโทรศัพท์ที่ตกอยู่ใกล้ๆสนามบาสได้ตอนม.2 และในนั้นก็มีเบอร์บ้านเค้า"


ครั้งแรกที่เราได้คุยกันนานที่สุดนอกจากการคุยผ่านโทรศัพท์ มันก็เป็นเรื่องบังเอิญ "เมื่อฉันกำลังเดินกลับห้องเรียน และเค้ากำลังลงบรรไดลงมาพอดี เลยจ๊ะเอ๋กัน"


หลังจากเค้าจบออกไปจากโรงเรียน ฉันก็ไม่ได้ติดต่อเค้าบ่อยนัก จนเค้าเปลี่ยนเบอร์ไปฉันก็ยังไม่รู้
แต่มันก็บังเอิญอีก "เมื่อฉันได้เบอร์เค้ามาจากเพื่อนคนหนึ่งที่ก็ชอบเค้าเหมือนกัน"


หลังจากนั้นเค้าได้เปลี่ยนเบอร์อีกครั้ง 


มันก็บังเอิญอีก ครั้ง "เพื่อนของฉันเรียนอยู่มหาลัยเดียวกับเค้า และในขณะที่ฉันกับเพื่อนกำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่ เพื่อนฉันเห็นเค้าเดินผ่านพอดีจึงเรียกไว้และให้คุยโทรศัพท์กับฉัน เค้าจึงให้เบอร์ใหม่เค้ามา"


และก็บังเอิญ "ที่ฉันและเค้าเกิดเดือนเดียวกัน"
ฉันไม่มีอะไรที่เป็นที่ระลึก แม้แต่ไม่มีรูปซักใบก็ยังไม่มี มีแต่ความทรงจำที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว 


ฉันไม่ได้คิดถึงเค้าทุกเวลา ไม่ได้หวังในสิ่งที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้น อาจจะเคยคิด อาจจะเคยหวัง แต่นั่นมันเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนี้ฉันหวังเพียงอย่างเดียวคือ ... อยากจะเจอเค้าอีกซักครั้ง 


ฉันไม่ได้อยากให้ระยะห่างของฉันกับเค้าใกล้ไป มากกว่านี้ และฉันก็ขอให้ระยะห่างของฉันกับเค้าไม่ไกลไปมากกว่านี้ เพราะที่ตรงนี้ ณ ตอนนี้ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ลงตัวสำหรับฉันแล้ว มันดีแล้ว


ณ วันนี้ เค้าคือพี่ชายที่ฉันรัก เคารพ และเป็นห่วง ฉันไม่รู้ว่าจะอีกกี่ปีที่ฉันจะยังรู้สึกอย่างนี้ รู้สึกตื่นเต้นทุกทีก่อนโทรหา รู้สีกมีความสุขทุกครั้งระหว่างคุยกัน และหุบยิ้มไม่ได้หลังจากวางสาย

หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในใจ มีความหมายที่มากมาย...ตลอดมา

::เด็กผู้ชายคนนั้น::






ถึง .... เด็กผู้ชายคนนั้น
.
.
.
เปิดออกมาดูโดยไม่ตั้งใจ ว่าจะได้เจอรูปเก่า
อยุ่ในวันเวลาที่สดใส วันที่มีเราข้างกัน
ภาพเดิมๆ ก็หวนมา เปลี่ยนเวลากลับไปวันนั้น
ใจก็เหมือนสั่นๆ เกือบลืมกันแล้ว
ต่างเดินกันไปตามทางของใคร
แยกไปค่อยๆ ไกลห่าง
อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็จางหาย ขาดกันโดยไม่รู้ตัว
กับเรื่องราวที่สวยงาม อยู่อย่างเดิมไม่เคยหมองมัว
ในหนังสือเก่าๆ หนังสือรุ่นเราเล่มนี้

รูปเธอยังยิ้ม ข้างเธอคือฉัน
เพ่งมองดูนานๆ น้ำตาก็มาคลอๆ
กี่ปีมาแล้ว เธอเป็นอย่างไรบ้างหนอ
ค่อยๆ ลืมเลือนกันไป ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
เรื่องราวเหล่านั้นจึงจบลง

เปิดไปดูเบอร์โทรไม่เห็นมี ที่ลงไว้คือที่อยู่
หยิบปากกาบรรยายในจดหมาย ว่าจำกันได้ไหมเธอ
ที่อยู่เดิมที่เขียนไป หากเปลี่ยนแปลงก็คงไม่รู้
ได้แต่หวังกันไป ความหลังคงไม่ตายจากเรา
.
.
.
เพื่อน...ที่เติบโตมาด้วยกันสมัยประถม
เพื่อน... ที่ชอบหาอะไรใหม่ๆ มาให้ฉันเล่น
เพื่อน...ที่วิ่งไล่จับกันตอนเด็กๆ
เพื่อน...ที่เข้าใจว่าฉันคิดยังไง
เพื่อน...ที่มานั่งเล่นจนดึกจนดื่นที่บ้าน
เพื่อน...ที่เมื่อไหร่แกก็ยังเป็นเพื่อน
.
.
.
ไม่รู้ อีกนานไหม ที่เราจะได้กลับมาเจอกันอีก แกก็มีทางของแกที่จะเดิน ฉันก็มีทางของฉันเหมือนกัน แต่หวังว่าซักวัน เส้นทางสองเส้นจะบรรจบเป็นเส้นขนานเหมือนดั่งสมัยวันวานอีกซักครั้ง
เด็กชาย ..... "มาครับ"
เด็กหญิง ..... "มาค่ะ"
.
.
.
คิดถึงแกจริงๆ ว่ะ

::Goodbye My Dear Friend::

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เพื่อนรักจากฉันไป ไปไกลจนไม่มีวันหวนกลับ ร่วม10ปีที่เราได้อยู่ด้วยกัน ได้เจอหน้ากันตอนกลับบ้าน อาบน้ำ วิ่งเล่น ให้อาหาร มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ รวมทั้งเมื่อฉันเครียด ท้อแท้ ผิดหวัง ก็มีมันเนี่ยแหละที่อยู่เป็นเพื่อนฉันเสมอ



เวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม ฉันได้ยินเสียงโจโจ้เห่า แต่ฉันไม่ได้ออกไปดูว่ามันเห่าอะไร ฉันไม่เอะใจเลยซักนิด ไม่เลย.. ไม่เลยจริงๆ


เวลาผ่านไป เกือบเที่ยงคืน แม่เดินเข้ามาปลุกให้ไปช่วยพ่อขุดดินฝั่งทอง ฉันลุกพรวดรีบวิ่งไปดูร่างของมันที่นอนสิ้นใจอยู่ข้างๆ อ่างบัว มันคงเดินออกมาจากใต้ถุนบ้านป้า มานอนตายข้างนอก มันคงคิดว่า ถ้ามันไม่พยายามเดินออกมา ก็คงจะลำบากน่าดูที่ใครจะไปเอามันไปฝั่ง มันลืมตา และอ้าปาก ทันทีที่ฉันเห็นมัน ฉันลูบหัวมันและปิดตามันลง ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น



ก่อนหน้านี้ฉันได้เตรียมใจไว้บ้างแล้ว ฉันจึงทำใจได้พอสมควร แต่เมื่อฉันฝั่งมันเสร็จ ความเศร้ามันก็ปรากฎออกมา ฉันนึ่งนึกถึงภาพของมัน ที่กำลังวิ่งเล่น กำลังนอนให้ฉันลูบหัว หรือ เกาคาง กำลังยืนนิ่งๆ ให้ฉันอาบน้ำ กำลังนั่งสวัสดีเวลาจะกินขนม กำลังเห่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมา กำลังนอนเฝ้าหน้าบ้านตอนกลางคืน กำลังวิ่งไล่คาบลูกแบด กำลังวิ่งเตะฟุตบอล กำลังดุโจโจ้ เท่านั้นล่ะ น้ำตามันได้หยดแหมะ เหมือนอย่างตอนนี้ที่มันกำลังหยด


บางทีมันเหมือนว่าฉันกำลังฝันอยู่ ฝันร้าย ฝันว่ามันจากฉันไปแล้ว แต่ความจริงคือ ฉันไม่ได้ฝัน มันเป็นเรื่องจริง และต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่ได้เห็นหน้ามันอีก พอคิดเช่นนี้ มันก็รู้สึกวูบ จากที่เคยอยู่ด้วยกัน กลับมาก็เห็นมันมายืนรอรับ แต่มันจะไม่มีแล้ว มันเศร้า


มันเป็นหมาที่ฉลาดตั้งแต่เด็ก ใครเห็นใครก็รัก มันขี้อ้อน ขี้เล่น มันเป็นมากกว่าหมา มันเป็นเพื่อนยามฉันรู้สึกอ้างว้าง มันเป็นยามประจำบ้านที่ดี มันเป็นพี่ชายที่ดีของโจโจ้ และมันเป็นที่รักของทุกๆ คน



หลับให้สบายนะทอง ถ้าชาตหน้ามีจริง ฉันหวังว่าเราจะเกิดมาใช้ชีวิตร่วมกันอีก ตอนนี้แกคงกำลังวิ่งเล่นข้างคุณยายอยู่ใช่มั้ย ก็ฉันฝั่งแกไว้ข้างๆ ศาลยายนี่


ฉันจะรักและคิดถึงแกตลอดไปนะ ลาก่อนเพื่อนรัก