::2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง::


วันๆ นึงช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของคนทั่วโลกก็จะเดินทางมาถึง ปี 2549 กำลังเตรียมตัวโบกมืออำลา ปี 2550 กำลังก้าวเข้ามาทำหน้าแทน
เด็กๆ มักจะมีความสุขกับเทศกาลต่างๆ แต่สำหรับคนบั้นปลายชีวิตเทศกาลหนึ่งผ่านมาเปรียบเสมือนว่าเวลาที่จะมีชีวิต อยู่กับลูกหลานก็ลดน้อยลงไปอีกปี
.....


เมื่อวานสอบวันสุดท้าย แต่จิตใจไม่ได้อยู่ที่ข้อสอบ มันลอยล่องไปถึงคิวพักผ่อนหลังสอบเสร็จเสียแล้ว
อาหารมื้อกลางวัน
หนังรัก The Holidays
ท่าพระจันทร์ วังหลัง
ชาเย็น Black Canyon
McDonald มื้อค่ำ
Christmas Tree at Central world
Internet ยามดึก
และ NiceSis


.....


ลองมานั่ง ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไปในปีนี้ดู มันก็ถือว่าเป็นปีที่ใช้ได้เลยทีเดียว อาจจะเพราะมีบทเรียนมาแล้วจากปีก่อน ที่ถือว่าเป็นปีที่ตกอับ คอตก ทุกข์ทรมาน พอมาปีนี้อะไรหลายๆ อย่างมันลงตัวขึ้น สามารถปรับตัวเองได้มากขึ้น ปีนี้ ..

สุขจนกลัวว่าเราจะไม่รู้สึกมีความสุขอะไรอย่างนี้อีกแล้วในวันถัดไป

เศร้าเสียใจ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว และเรื่องความรู้สึกที่สับสนในตัวเอง

ภูมิใจและท้อแท้อะไรหลายๆ สิ่งที่ตัวเองทำได้และทำไม่ได้

ผิดหวัง สมหวัง มีกำลังใจ หมดกำลังใจ

แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ผ่านมาได้ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ยังไงซะมันก็ทำให้เห็นว่าทุกปัญหามันก็มีทางออกของมันเสมอ

2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง :)


::ทะเลธันวา::


เผลอแป๊บเดียวจะสิ้นปี แล้ว วันเวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ เร็วจนบางทีมันน่ากลัว กลัวว่าเราจะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ไม่ทันเวลา เส้นทางเดินของคนเรามันยาวไกลนัก แต่พรุ่งนี้อาจมีบางสิ่งทำให้คนเราหยุดเดินก็ได้ ทำให้คนเราหมดลมหายใจ ใครจะไปรู้ .. จริงมั้ย?
ทุกวันนี้เลยพยายามจัด เวลาให้ดี ไม่ทำตัวปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนตอนนี้หวงเวลา ไม่อยากให้มันผ่านไปโดยไร้ค่า แต่ใครจะไปห้ามมันได้ ที่จริงแล้วเวลามันไม่ได้เดินเร็ว มันก็เดินติ๊กตอกๆ ของมันไปเรื่อย มีเพียงตัวเราที่ไม่มีจังหวะในการเดิน ไม่สามารถเดินติ๊กตอกๆ อย่างมันได้ เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว
.....
หลายวันก่อนไปนั่งพักกาย ผ่อนใจที่ทะเล ถึงแม้หาดทรายจะไม่ขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลจะไม่สวยสีฟ้าใสอย่างทะเลทางภาคใต้ หรือตามเกาะต่างๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีไม่ใช่น้อย แอกที่แบกอยู่บนบ่าเหมือนหายไปชั่วคราว


ครั้งนี้ไปทันพระอาทิตย์ตก และตื่นทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี อ้อ! ลืมบอกไปว่าหาดที่ว่าคือ หาดเจ้าหลาว - จันทบุรี ไม่ใช่หาดที่มีชื่อเสียงอะไร แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของมัน ถึงแม้บรรยากาศไม่ได้เลิศหรูอย่างทะเลดังๆ ที่อื่นๆ แต่ที่นี่ความเงียบสงบถือว่าไม่เป็นรองใคร
ตอนกลางคืนเดินรับลมก่อน นอน ได้ยินกลุ่มข้างๆเค้าคุยกันว่าวันนี้ลมทะเลไม่เหนียวตัวเลย ซึ่งมันก็ จริง ไม่เหนียวตัวจริงๆ (นี่ถ้าไม่ได้ยินเค้าพูดกัน ฉันก็จะไม่รู้สึกว่ามันไม่เหนียวตัวนะเนี่ย .. ความรู้สึกตายด้าน!!)




อากาศช่วงเช้าที่นี่ถือได้ว่าเย็นพอรู้สึกได้ แต่พอช่วงกลางวันก็ไม่ต่างกับกรุงเทพมากนัก แต่น่าจะร้อนน้อยกว่า
ตอนเช้าในขณะที่กำลังรอ คอยแสงตะวัน พบกับเด็กผู้หญิงคนนึงเดินแบกห่วงยางสีดำอันใหญ่สำหรับให้คนเช่าเดินไปเดิน มา ทีแรกเดาว่าน่าจะราวๆ 10 ขวบ เพราะดูลักษณะยังเด็กอยู่ เลยเดินเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าน้องเค้าอายุ 13 อยู่ ม.1 แล้วถามน้องเค้าอีกว่าแล้วพ่อแม่ล่ะ(เพราะเห็นแบกอยู่คนเดียว) น้องเค้าบอก "ตายหมดแล้ว" ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร เพราะแค่ได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกช็อคแล้ว ตอนนี้น้องเค้าอยู่กับป้า



หลายๆ ครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อย มีแต่ปัญหาเข้ามาเสมอๆ แต่ลองมองไปไกลๆ มองคนที่แย่กว่าเรา ไอ้ปัญหาที่เรามีอยู่มันช่างจิ๊บจ๊อยจริงๆ
.....
แม่เคยบอกว่า "รู้สึกสูงค่าให้มองขึ้นฟ้าเพราะยังมีคนที่ดีกว่าเรา แต่ถ้ารู้สึกต่ำต้อยก็ให้มองลงดิน อย่างน้อยๆ ก็มีคนที่แย่กว่าเรา" หลายๆ ครั้งที่แม่บอกอะไรมาล้วนแต่ใช้ได้จริง 
"ความรู้รู้เท่าที่เรียน ปฏิภาณความเพียรไม่เรียนก็รู้" เป็นคติที่พ่อใช้สอนฉันเสมอ คตินี้พ่อได้มาจากแม่ซึ่งตาเป็นคนสอนแม่ตอนตายังมีชีวิตอยู่
แม้คนเราไม่มีตัวตนแล้ว แต่สิ่งๆ หนึ่งยังคงอยู่ ถ้าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อคนในยุคต่อมา ...
.....

ปล. วันก่อนที่จะออกเดินทางได้รับโปสการ์ด3ใบรวด จากคนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนอีกส่วนหนึ่งของตัวฉัน ขอบคุณมากนะ


::The Radio : ผี::



วานก่อนตอนเช้าก่อนไปเรียน เปิดวิทยุฟังเพลงไป แต่งตัวไปตามปกติ บังเอิญเปิดไปตอนดีเจเล่าเรื่องผีอยู่พอดี
ผีที่ว่าไม่ใช่ผีตานี ผีกองกอย ผีจีน ผีฝรั่ง ผีไทย หรือผีชาติไหนก็ตาม สรุปคือไม่ใช่ผีที่เป็นมนุษย์นั่นเอง
แล้วผีที่ว่าเป็นผีอะไร่ล่ะ ???
.....
ไอ้ผีที่ว่าคือผีสัตว์ที่เรากินมันเป็นอาหาร อาทิ
ผีไก่ย่าง
ผีปลาทอด
ผีกุ้งเผา
ผีปลาหมึกย่าง
ผีวัว
ผีหมู
และอีกนับนานาผีสัตว์ที่เราได้เขมือบลงกระเพาะไป
.....
เรื่องมันมีอยู่ว่าดีเจ คนนี้เป็นคนกลัวผีมาก แล้ววันหนึ่งเค้าได้ฟังข้อคิดจากเพื่อนสนิทของเค้าซึ่งเป็นนักเขียนคนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เคยได้รางวัลซีไรต์ และเสียชีวิตแล้ว) เพื่อนของเค้าชอบเดินป่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลัวผีแต่ก็มีหวั่นๆ บ้างเวลาเดินป่าคนเดียว นอนป่าคนเดียว
หลังจากนั้นเพื่อนของ เค้าก็คิดได้ว่าเราจะกลัวไปทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ผีพวกนั้นเสียหน่อย ถ้าจะกลัวจริงๆ ทำไมเราไม่กลัวผีสัตว์ที่เรากินเป็นอาหารอยู่ทุกวัน เพราะสัตว์เหล่านี้ก็มีชีวิตเหมือนกัน เรากินมันเข้าไป มันน่าจะแค้นเรามากกว่า
จากที่จะกลัวโดนผีซึ่ง เป็นคนมาบีบคอ หรือมาหลอก เราน่าจะกลัวผีไก่ย่างที่ออกจากปากแล้วมาจิ๊กเรามากกว่าเวลาเราหลับแล้วลืม หุบปาก เราน่าจะกลัวผีปลาหมึกย่างที่เราเพิ่งกินไปเอาหนวดมารัดคอเรามากกว่า ทำไมเราไม่กลัวผีกุ้งเผาที่มาร้องห่มร้องไห้ว่า "กินชั้นไปทำไมๆ" นับ 10 ตัว แล้วไหนจะผีปลาทอดที่ตั้งแต่เกิดมากินไปแล้วไม่รู้กี่ตัว ผีหมูอู๊ดๆ ผีปูกล้ามโต ผีวัว(ถ้าใครกิน)ตัวไม่ใช่เล็กๆอีก
นึกดูแล้วถ้ากลัวจริงๆ ผีสัตว์น่ากลัวกว่าผีคน!!!
เห็นว่าเป็นข้อคิดที่ดี เลยนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ตอนฟังนี่ขำกลิ้ง "ผีไก่ย่างออกมาจากปาก" คิดได้ไง!!!
.....
ตอนกำลังตากผ้าหันไปเห็นผีเสื้อหลายตัวบินไปบินมาอยู่ตรงพุ่มไม้หน้าบ้านพอดี เลยเก็บรูปมาฝากค่ะ


::พอเหมาะ พอดี::


ที่จริงแล้วก็คิดอยู่ เสมอว่าปัญหาทุกปัญหามันก็มีทางออกของมัน แล้วทางออกที่ว่าก็ไม่ได้มีทางเดียว มันก็มีหลายทางให้เราเลือกที่จะออกประตูไหน มีเส้นทางที่ไม่เท่ากัน สั้นบ้าง ยาวบ้างก็อยู่ที่เราจะเลือก หลายๆ ปัญหาก็ต้องใช้เวลาซักนิด เวลาจะบอกว่าเราควรไปทางไหน เราควรทำอะไร ทำอย่างไร
แต่หลายครั้งที่ฉันมักจะ วิตกจริตไปก่อน ทั้งๆที่ก็มีเวลาอีกเหลือเฟือในการหาทางออก เป็นพวกคิดเกินกว่าเหตุในหลายๆ ครั้ง แล้วเป็นพวกชอบคิดกลับไปในอดีตว่า ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นก็คงจะดี เรารอบคอบกว่านั้นก็คงจะดี ถ้าเรา ... ถ้าเรา .... ฯลฯ
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าทำยัง ไงถึงจะดีที่สุด ฉันก็คิดเพียงว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ในอนาคตเกิดอะไรขึ้นก็ค่อยมาว่ากันอีกที วันนี้พอใจที่จะทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ แค่นี้ก็พอ
แต่พอถึงอนาคตจริงๆ ก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้กลับไปคิดเรื่องที่ทำไว้ไม่ได้ซะที เคยคิดเหมือนกันว่า สิ่งที่เราเรียกว่าปัญหามันอาจไม่ใช่ปัญหาก็ได้ แต่ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ความคิดมากของคนเราเองนี่แหละ
.....
บางสิ่งบางอย่างเราต้องทำให้พอเหมาะ พอดี ... ถึงจะดี?
บางสิ่งบางอย่างเราต้องทำให้เกินพอเหมาะ พอดี ... ถึงจะดี?
แต่หายากที่เราต้องทำให้น้อยกว่าความพอเหมาะ พอดี ... แล้วมันจะดี?

::บ่นๆ เรื่องเรียนๆ::


หายไปนานเลย แบบว่าไม่มีอะไรจะเขียน มันก็เรื่องเดิมๆ ช่วงนี้กราฟชีวิตมันสูงๆ ต่ำๆ แต่ว่าไปแล้วอย่างนี้แหละเนอะเค้าเรียกว่าสีสันของชีวิต จะมาราบเรียบตลอดเลยมันจะไปสนุกอะไร ... (แต่บางทีมากไปอาจทำให้ขมับสั่นไหวได้!!)
.....
เทอมนี้เรียกได้ว่าเรียน หนักมาก ถึงแม้จะหยุด 3 วันต่ออาทิตย์ก็ตาม แต่วันที่เหลือนี่ก็เรียนตั้งแต่ 8.40 - 16.30 ทุกวัน วันหนึ่งได้กินข้าวมื้อเดียว ตอนแรกที่ลงเรียนนึกว่าตัวเองทำได้ คิดในใจว่า "โอ๊ย สบายๆ เรียนทั้งวัน มันก็ต้องซักวิชาสิที่ไม่เช็คชื่อ" ที่ไหนได้เทอมนี้เป็นบ้าไรกันไม่รู้ เล่นเช็คทุกวิชา เก็บคะแนนทุกครั้ง แถมเทอมนี้เรียนทั้งบัญชี สเตด เศรษศาสตร์อีก เวลาใกล้สอบอ่านสนุกเลยทีนี้ ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ต่อไปฉันจะไม่ลงเรียนเกินบ่าย2 อีกแล้ว ถึงบ้านนี่ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำงานบ้าน อาบน้ำ นอน แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว แถมการบ้านยังเยอะอีก สูตรไรเยอะแยะไปหมด ท่องไปท่องมาสลับวิชากันซะงั้น -"-
ที่จริงวันนี้ต้องไปฟัง เรื่องการเลือกคณะที่มอ แต่ว่าความขี้เกียจกวนใจไม่หยุดไม่หย่อน จะห้ามมันก็ไม่ฟัง เลยต้องตามใจมัน เปลี่ยนโปรแกรมจากไปฟังบรรยายไปเป็นเข้าโรงหนังคลายเครียดซะงั้น เมื่อวานก็โดดเรียนเศรษศาสตร์ไปทำทรีตเม้นต์หน้ามาแล้วครั้งนึง แบบว่ามันฟรีแล้วน่ะ เลยต้องรีบไปก่อนหมดวัน >.<
ถึงแม้จะเรียนหนักแค่ไหน ฉันก็สามารถหาเวลาไปนอนชมทะเลได้ ไปมาเมื่อพฤหัสที่แล้ว ส่วนรูปภาพ และ รายละเอียดตามอ่านได้ที่ http://nonbalance.diaryis.com เพราะคิดว่าถ้าเขียนเองก็คงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ทั้งความรู้สึก และมุมมองต่างๆ
.....
เพื่อน คือ ตัวแปรหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับฉัน และคงรวมถึงหลายๆ คน ฉันไม่ใช่คนที่ตามเพื่อน หรือติดเพื่อน แต่บางครั้งฉันก็ขาดเพื่อนไม่ได้
ฉันเข้าใจว่าเพื่อนก็ ต้องมีโลกของเค้าเหมือนที่ฉันมีโลกของฉัน แต่บางครั้งการที่เราเข้าใจอะไรบางสิ่งมันไม่เพียงพอ เราต้องรู้สึกให้ได้อย่างที่เราเข้าใจด้วย วันนี้ฉันเข้าใจ และฉันก็กำลังรู้สึกกับมัน ...

::แงะ::



ตัวเราก็เป็นของเรา ไม่จำเป็นต้องไปติดกับคนอื่น .. จริงมั้ย? ไม่ใช่เพิ่งจะคิดได้ แต่คิดได้นานแล้ว แต่บางทีมันยังแงะออกมาไม่ได้อย่างที่ต้องการ

โทรไปเคยรับสายทันที ถ้ายิงไปก็โทรกลับมาทุกที ชวนไปไหนก็ไม่เคยปฏิเสธ กลุ้มใจเรื่องอะไรก็ระบายออกมาได้ ฯลฯ

แต่ ... หลายเดือนที่ผ่านมา หลายอย่างไม่เหมือนเดิม ต้องใช้เวลาซักพักเพื่อแงะตัวเองออกมา อาจจะเพราะอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องเพื่อนๆ คนอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเลวร้ายอะไร ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แต่บางทีมันก็สงสัยอะไรบางอย่าง แอบน้อยใจบ้าง แต่อย่างว่าปากหวานก้นเปรี้ยวมีเห็นทั่วไป จะคิดอะไรมากมาย จริงมั้ย? ฉันไม่ได้ตัดเยื่อใย ไม่ได้ไม่สนใจหรือไม่เป็นห่วง เมื่อถึงวันที่ให้จนเกือบจะหมดตัว ก็เป็นธรรมดาที่ปริมาณมันก็น้อยลงไป ฉันมันก็เป็นแค่คนธรรมดา รู้สึกเจ็บ รู้สึกแย่ ก็คิด ก็รู้สึก ไม่ได้เป็นแม่พระที่เป็นคนดีตลอดเวลา อะไรไม่ได้ดั่งใจมันก็มีบ้างที่เอาแต่ใจ ... ฉันมันคนเลวฝังในนี่น่า!!!

วันนี้ ตอนนี้ แงะตัวเองออกมาได้แล้ว ไม่มีเค้าก็ไม่เป็นไร เหงาๆ ก็ลองโทรหาคนอื่นดู เออ .. ฉันก็ไม่ได้ตัวคนเดียวนี่หว่า มีคนนู้นคนนี่อีกมากมายที่อยู่เป็นเพื่อน มันทำให้ฉันรู้ว่า ยังมีคนอีกไม่น้อยเหมือนกัน ที่คอยดูแลฉันห่างๆ และเมื่อถึงเวลาใดที่เราล้ม พวกเค้าก็ไม่รีรอที่จะก้าวเข้ามาช่วยเหลือ ... บางทีปากจัดๆ แต่จริงใจมันยังดีซะกว่า
.....


ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้นะ แต่แบบขอเก็บไว้อ่านดีกว่า

::ไปหาสีเขียวๆ::



เกือบครึ่งปีที่ไม่ ได้ปล่อยตัวไปไหนไกลจากเมืองหลวง ครั้งล่าสุดไปเดินต๊อกๆอยู่ที่เมืองกาญฯ เมื่อเดือนพฤษภา ซึ่งมันก็นานมากแล้ว ....
.....
วันอาทิตย์อากาศ แจ่มใส แสงอาทิตย์แยงตาปลุกฉันตื่น (รวมถึงเสียงที่บอกถึงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักของแม่ด้วย!!) จัดแจงจับของใส่เป้ยีนส์เตรียมตัวออกเดินทาง

ตลอดการเดินทางการ จราจรคับคั่งไปด้วยรถ อาจจะเพราะข้างทางกำลังทำถนน และเป็นวันหยุด long weekend ระหว่างทางฉันก็นั่งอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งได้จากงานสัปดาห์หนังสือ (ทั้งๆ ที่เล่มเก่าๆ ก็ยังอ่านไม่จบ) มันไม่ใช่หนังสือออกใหม่ แต่เป็นหนังสือเล่มใหม่ของฉัน

เงยหน้าขึ้นมาอีกที คราวนี้จากที่อากาศแจ่มใสกลับกลายเป็นมืดครึ้ม เม็ดฝนร่วงหล่นปรอยๆ ทำให้บรรยากาศสองข้างทางดูเย็นลง ธรรมชาติดูมีชีวิตมากขึ้น นาข้าวสีเขียวแดนซ์ไปตามจังหวะของแรงลม มองไกลๆ เห็นภูเขาชัดขึ้น นี่ฉันไม่ได้เห็นอะไรอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ สองตาเจอแต่ ตึก ตึก ตึก มากี่เดือนแล้วนี่!! จริงอย่างที่เค้าว่ากันนะว่า เวลาเห็นอะไรเขียวๆแล้วจะทำให้รู้สึกดีขึ้น (ถึงแม้จะเห็นอะไรเขียวๆ ทุกวันจากสนามหญ้าและต้นไม้หน้าบ้านแต่มันเขียวไม่โดนใจนี่!)

รถจอดคนหน้าเดิม เดินเข้ามาทักทาย ฉันจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปีแล้วที่ครอบครัวฉันรู้จักกับน้าคนนี้ เค้าเป็นคนคอยดูแลที่นาที่ซื้อไว้และเช่าทำนาไปด้วย นั่งนับดีๆ คงไม่ต่ำกว่า 10 ปีเห็นจะได้ แต่รู้มั้ยฉันไม่เคยรู้แม้กระทั่งชื่อของเค้า กลับถึงบ้านฉันซักไซร้ถามผู้เป็นแม่และได้คำตอบมาว่า "แม่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน" !!!! บางทีชื่อก็ไม่สำคัญสำหรับมิตรภาพ ชื่อก็เป็นเพียงสรรพนามเท่านั้น

ลงจากรถไปสวัสดี เรียบร้อย เดินเล่นดูวัวแล้วก็คุยกับมันอยู่ซักพัก รู้สึกว่าคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเลยแอบเดินขึ้นรถนั่งจดบันทึกเล็กๆ น้อยๆ ไว้เตือนความจำ

เม็ดฝนเทลงมาหนัก ขึ้นๆ กลิ่นขี้วัวลอยมาแตะจมูกแต่ไม่ยักจะเหม็นเท่าไหร่นัก หรือว่าการรับรู้ทางด้านกลิ่นของฉันตายด้านไปแล้ว!! ในขณะนั้น วัว 2 ตัวกำลังยืนเคี้ยวหญ้าพร้อมส่งเสียง "มอ มอ" เป็นระยะๆ เหมือนพวกมันกำลังบอกว่า "อร่อยจังเลยๆ"

ล้อรถบถลงบนถนนลูกรังเคลื่อนมายังถนนลาดยางอีกครั้ง
.....
ฉันชอบวิถีชิวิตของคนชนบท แต่ก็ยังตัดขาดความสะดวกสบายในเมืองกรุงไม่ได้ แต่ซักวันฉันอาจไม่ต้องการมันก็ได้ ใครจะไปรู้ จริงมั้ย ?!

::ชีวิตกับสายฝน::



หากชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง เมื่อชีวิตพบเจอปัญหาก็คงไม่ต่างกับการเดินทางในม่านฝน
.........................................................
คนเราเดินทางเพื่ออะไรบางสิ่ง
บางคนเดินทางเพื่อตามหาความฝัน
บางคนเดินทางเพื่อหาความรู้
บางคนเดินทางเพื่อหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง
บางคนเดินทางเพื่อชำระจิตใจ
บางคนเดินทางเพื่อหาคู่ครอง
ฯลฯ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ การเดินทางทำให้เราได้ประสบการณ์ชีวิต ดีบ้างไม่ดีบ้างอาจอยู่ที่เวลา วิธี สถานที่ ผู้คน และตนเอง
.........................................................
คืนนี้สายฝนร่วงหล่นแทบ ไม่ลืมหูลืมตา สายลมพัดโหมอย่างบ้าคลั่ง หลายๆแห่งคงมีสภาพน้ำขังไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ผู้คนที่อยู่บ้านหรือกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วคงดีใจไม่น้อยที่รอดจากการ เปียกปอนในครั้งนี้ แต่ก็คงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ติดฝนตามสถานที่ต่างๆ หรือโชคร้ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุติดอยู่ภายในรถแท็กซี่บนทางด่วนโทลเวย์ (เหตุการณ์ที่พบเจอระหว่างทางกลับบ้านวันก่อน)

ถ้าเราเดินทางอยู่ที่ไหน ซักแห่งแล้วเกิดฝนตกขึ้นมา ก็คงเหมือนเรามีความสุขแล้วอยู่ดีๆ ปัญหาก็ต่างพรั่งพรูเข้ามาในชีวิต มันคงไม่เลวร้ายถ้าสายฝนนั้นไม่หนักหนาถึงขนาดเดินฝ่าไปไม่ได้ แต่ถ้ามันเลวร้ายจริงๆ จุดมุ่งหมายเดียวกันเวลาฝนตกคือการหาที่บังฝนเพื่อพักระหว่างทาง หรือหาร่มเพื่อหาตัวเองไปสู่ที่หมาย เหมือนกับเวลาเราเจอปัญหา จุดมุ่งหมายเดียวกันคือการแก้ไขปัญหา เราคงไม่ยืนอยู่กับที่ตากฝนเพื่อรอคอยวันเวลาให้ฝนหยุดตกหรอกจริงมั้ย เพราะไม่มีใครรับประกันว่าระยะเวลาของสายฝนที่ร่วงหล่นจะนานมากน้อยเพียงใด

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อฝนตก มันก็ต้องหยุด ดังนั้นเมื่อเราพบเจอปัญหา ซักวันมันก็ต้องจากไป
เราวิ่งหนีฝนได้ แต่อาจจะมีอาการไม่สบายกายในวันรุ่งขึ้น แต่อย่าลืมว่า เราวิ่งหนีปัญหาไม่ได้ เพราะถ้าหนี อาการในวันรุ่งขึ้นคงไม่เพียงไม่สบายกาย ใจของเราก็คงไม่สบายด้วย ดังนั้นอย่าลืมกางร่มเพื่อป้องกันอาการไม่สบายกายจากสายฝน และป้องกันอาการไม่สบายใจจากปัญหานะคะ
.........................................................
หากชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง เมื่อชีวิตพบเจอปัญหาก็คงไม่ต่างกับการเดินทางในม่านฝน
27 กันยายน 2549
สองทุ่มกว่าๆ :)

::MJ's Day::



ตอนแรกตั้งใจจะมา เขียนเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ แต่คิดไปคิดมาไม่เขียนดีกว่า เพราะเค้าเขียนกันเยอะแล้ว! มาอัพเดทเรื่องราวใกล้ตัวดีกว่า
...........................................

วันที่ 21 กันยายน 2541 เวลา 08:21 นาฬิกา
เด็กชายคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลก ด้วยน้ำหนัก 3800 กรัม ซึ่งต่างจากพี่สาวของเค้ามากๆ (พี่สาวต้องอยู่ตู้อบตอนเกิด) เด็กชายคนนี้ได้เติบโตเรื่อยๆ ผ่านมาจนวันนี้มีอายุครบ 8 ปีเต็ม เป็นเด็กชายที่เป็นสีสันของที่บ้าน ถ้าไม่มีเด็กชายคนนี้ อุณหภูมิภายในบ้านคงเดือดมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน่าดู

หลากหลายเหตุการณ์ ที่ฉันรู้สึกสงบลงเพราะเห็นหน้าเด็กคนชายคนนี้ มีอีกหลายครั้งเช่นกันที่ เวลาฉันรู้สึกแย่ก็จะมีไอ้เด็กคนนี้มาอยู่เป็นเพื่อน มานอนข้างๆ ชวนคุยนู้น คุยนี่ให้ฉันรู้สึกดีขึ้น เป็นเด็กที่มีความคิดแก่เกินวัย เวลาอยู่ด้วยไม่เคยรู้สึกว่าอยู่กับเด็กวัย 8 ขวบ หลายๆ ครั้งคำพูดที่ออกจากปากเด็กคนนี้ทำให้ฉันคิดอะไรให้กับชีวิตได้เยอะขึ้น บางครั้งฉันคิดว่าตกลงใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่ 

เหมือนว่าอายุ ระหว่างฉันกับเค้าจะต่างกันมาก ใช่! ฉันก็เคยรู้สึกอย่างนั้นตอนที่เค้าเพิ่งเกิด แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย อาจจะเพราะเค้าเติบโตมากับผู้ใหญ่ ไม่มีเด็กรุ่นเดียวกันให้ใกล้ชิด เลยทำให้ความคิด คำพูด การกระทำ เลยดูว่าแก่กว่าอายุจริงๆ ถ้าใครเห็นคงไม่คิดว่านี่เด็กอายุ 8 ขวบแน่ๆ และที่สำคัญตัวก็จะสูงเท่าฉันอยู่แล้ว >.<   

ณ ตอนนี้ ทุกครั้งที่จะทำอะไรลงไปฉันต้องคิดถึงอนาคตของน้องเสมอ กลัวว่าถ้าฉันพลาดไปแล้วน้องจะลำบากเพราะก็มีกันอยู่แค่นี้ พ่อแม่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน น้องก็ยังเด็ก ภาระหลายๆ อย่างก็มีให้ต้องทำ ต้องแก้ไข หลายๆ คนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมต้องทำอย่างนี้ แต่บอกตรงๆ ว่า เมื่อมีคนซักคนที่เรารักเค้าจริงๆ ที่เราต้องดูแลเค้าอย่างดีที่สุด วันนั้นก็คงจะเข้าใจ เหมือนในวันนี้ฉันก็เข้าใจแม่มากขึ้น ทำไมนะแม่ต้องบ่น ทำไมนะแม่ต้องห้าม เพราะความเป็นห่วง เพราะความกังวล กลัวนู้นนี่ต่างๆ นาๆ 

แม่เคยบอกว่า น้องเป็นเด็กที่ถ้าเลี้ยงเค้าดี เค้าก็คงจะเป็นที่ดีมาก แต่ถ้าเลี้ยงไม่ดี ก็คงจะเตลิดไปเลย อันนี้เข้าใจนะ และเห็นด้วย ด้วยนิสัยน้อง และสภาพแวดล้อมอะไรต่างๆ ฉันก็จะพยายามเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด เพื่อให้เป็นเค้าเป็นเด็กที่ดี :)


Happy Birthday my lil bro .... MJ - Majam

 
...........................................

พอไม่รู้ก็อยากรู้ แต่พอได้รับรู้ก็คิดว่าไม่น่าจะไปรู้เลย ... เคยคิดอย่างนี้กันมั้ย ?

::Update::




และแล้วก็ได้ฤกษ์เลิกดองไดแล้วนะค๊า
....................................

ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ไปทำอะไรมาทั้งนั้น อยู่บ้านแล้วก็ไปเรียน ทำอยู่แค่นี้แหละ เลยทำให้ไม่รู้จะเขียนอะไร อ่อ! เพราะคอมมันเสียด้วย เลยทำให้ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งสิ้น 

หลายวันที่ผ่านมา เหมือนทุกอย่างมันราบเรียบ ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรให้คิด หัวสมองมันเลยไม่แล่น บางวันตั้งใจไว้ซะดิบดีว่ากลับถึงบ้านจะมาเขียนนะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันก็เขียนไม่ออก เหมือนตอนนี้ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรออกมา แต่มันเป็นอารมณ์ที่อยากเขียน และมันควรจะมาเขียนได้แล้ว อย่างน้อยๆ ก็แสดงตัวว่าฉันไม่ได้ไปไหนนะ ก็วนเวียนอยู่แถวๆ นี้แหละ อาจจะไม่ได้ไปทักทายใครเลยก็ตามที -"-
....................................

มีอยู่อาทิตย์นึง ฝนไม่ตกเลย ร้อนมากๆ แต่ตอนนี้กลับมาตกอีกแล้ว คิดว่านี่คงเป็นฝนสุดท้ายปิดหน้าฝนแล้วล่ะมั้ง ปลายฝนที่กำลังรับการมาเยือนของหน้าหนาว ซึ่งไม่รู้ว่าปีนี้จะหนาวได้ซะกี่วัน 

หน้าฝนก็ดีอย่างทำให้อะไรๆ ดูเขียวชอุ่มไปหมด แต่ก็ไม่ดีหลายอย่างเหมือนกัน อย่างน้อยๆ คือ เปียกฝน กับขี้เกียจตื่นไปเรียนตอนเช้าเพราะอากาศดีจัด >.<
....................................

12 กันยายน 2529
เด็กน้อยคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลก วันนี้วันครบรอบวันเกิดปีที่ 20 ขอให้เด็กน้อยคนนั้นที่โตมาเป็นคุณป้าในวันนี้ มีความสุขมากๆ ประสบผลสำเร็จในชีวิต เรียนจบไวๆ แล้วไปเที่ยวกัน :p อ่อ! ลืมไป ขอให้ข้อตรงเอ็นร้อยหวายหายเป็นปกติเร็วๆ ป้าได้ไม่บ่นเวลานั่ง หรือเดินนานๆ นะจ๊ะ

Happy Birthday my NiceSis A.K.A ป้า

::We are SHINHWA::





 

วัน นี้เป็นวันที่มีความสุขมากๆ วันหนึ่ง เป็นวันที่เหมือนฝันได้เป็นจริง เพราะในที่สุด Shinhwa ก็มาแสดงคอนเสริ์ตที่เมืองไทย และคงเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว
.
.
.
ย้อนกลับไปช่วงสี่ ถึงห้าปีที่แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการบ้าญี่ปุ่นกับเกาหลี แต่จำได้ว่าช่วงนั้นเกาหลียังไม่บูมเลยในเมืองไทย ได้อ่านนิตยสารเล่มหนึ่งเกี่ยวกับวง H.O.T. ทำให้ตัวเองรู้สึกชอบวงนี้มากๆ พอเริ่มชอบก็เริ่มค้นหาประวัติจากอินเตอร์เน็ต จาก H.O.T ถ่ายทอดความชอบมาสู่วงลูกหม้อ SM TOWN อีกวงคือ Shinhwa
จำได้ว่าชอบ Shinhwa เพราะ Minwoo ตอนนั้น Minwoo น่ารักมาก ถึงแม้ตอนนี้ความชอบในตัว Minwoo จะน้อยลงแต่ก็ยังคงชอบอยู่ ถ้าดูจากรูปในตอนนั้น Minwoo เป็นคนที่ถ่ายรูปขึ้นมากที่สุดในวง (เนื่องจาก Eric ผมยังยาว ยังไม่เข้ากรุง!) บอกตามตรงว่า วงนี้เป็นวงที่มองผ่านๆ แล้วหน้าตาไม่ได้ดีอะไรเลย ต้องมองลึกๆ ต้องใช้เวลา (ยิ่งย้อนกลับไปดู Jin กับ Eric สมัยก่อน ถ้ามองแว๊บแรกแล้วคิดว่าหล่อนี่ ขอบอกว่าสายตายาวไกลมากว่าถ้ามันสองคนตัดผมแล้วจะหล่อได้ถึงเพียงนี้!)
ฟังเพลงมาได้สองปี ถึงมีโอกาสได้ดู MV ได้ดูรายการที่ Shinhwa ไปออก ได้ดูละคร ซีรีย์ที่พวกเค้าเล่น ทำให้หลงรักสมาชิกภายในวงที่เหลือ มันไม่ได้ชอบทุกคนในช่วงแรกๆ เหมือนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนเกือบจะครบทั้งวง !! แต่ถ้า Shinhwa ขาดคนใดคนหนึ่งไปก็คงไม่ใช่ Shinhwa
.
.
.
วันนี้ในคอนเสริ์ต ทุกๆ คนน่ารักมากๆ ถึงคนดูจะมีไม่มากไม่กี่พันคน แต่ทุกคนก็แสดงได้อย่างเต็มที่ (ถึงแม้อีดี้จะทั้งลืมเนื้อ ลืมท่าเต้นก็ตาม)
Eric ตัดสกินเฮด ถึงจะไม่เท่เท่าทรงที่เล่นฟีนิกซ์ แต่ก็เท่อยู่ดี และสำเนียงภาษาอังกฤษของ Eric ดีมากเลยทีเดียว ดีกว่าที่คิดไว้
Andy ผมยาวขึ้น แสกข้างเผยให้เห็นว่า แก่กว่านี้หัวมันล้านแน่ๆ แล้วมันทั้งร้องไม่ได้ เต้นไม่ได้ แต่ยังไงก็รู้สึกว่านี่คือเสน่ห์ของเค้า
Hyesung ผมยาวขึ้นนะ แก้มก็ยังย้อยแต่เหมือนว่าดูดีขึ้น สำหรับเสียงก็ยังคงพลังเหมือนเดิม ของเค้าดีจริง
Minwoo เตี้ยจริงๆ (ฮ่าๆ) ยังคงขี้เล่น ยิ้มเก่ง entertain คนดูได้ดีมากๆ
Jin อัลบั้มนี้ Jin หล่อมากๆ ขาว ผ่อง สูง แล้วที่สำคัญมีส่วนร่วมกับการร้องมากขึ้น
Dongwan ดูสูงกว่าที่คิด แล้วตุ้มหูคู่ที่ใส่เล่นคอนเสริ์ตช่างรับกับใบหน้าโหนกๆ ของ Dongwan มาก ทำให้ดูดีขึ้นมากๆ เหมือนว่า Dongwan ผอมลงด้วย
.
.
.
ช่วงที่ยืนกรี๊ดดู คอนเสริ์ตไป ก็คิดไปว่าถ้าวันหนึ่งพวกเค้าไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ไม่ได้ออกอัลบั้มด้วยกัน ทัวร์คอนเสริ์ตด้วยกัน พวกเค้าคงรู้สึกเหวงๆ น่าดูเลยเนอะ วันที่ว่าก็คงอีกไม่นานแล้วด้วย เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่านี่คืออัลบั้มสุดท้ายก่อนจะปิดฉากตำนาน King of K-pop วงนี้ (ถึงแม้ทาง SM ยังไม่ได้ประกาศออกมาก็ตาม) ด้วยอายุอานาม ด้วยหน้าที่ของแต่ละคน มันคงถึงเวลาแล้วที่จะแยกตัวกันไป ไม่รู้ถึงวันที่ออกมาประกาศจริงๆ ฉันจะรู้สึกยังไง ตอนนี้ก็เข้าใจว่ามันเป็นสัจธรรม พยายามไม่คิดอะไรมาก แต่บางทีเหมือนเห็นมานาน ห้าปีที่ผ่านมาก็ผูกพัน ก็ติดตามมาตลอด ยิ่งช่วงหลังๆ นี่ ได้เห็นได้รับรู้อะไรมากขึ้น จากที่พูดกับใครเค้าก็ไม่รู้จัก ไม่สนใจ แต่ตอนนี้มีคนที่บ้าเหมือนกันแล้ว มันก็อดเสียดาย เสียใจไปไม่ได้
.
.
.
ไม่รู้เหมือนกันว่า พอถึงช่วงหนึ่งของอายุที่เพิ่มมากขึ้นของฉัน ฉันจะยังชอบวงนี้รึเปล่า หรือจะกลับมานั่งขำตัวเอง และออกอาการ ยี้ๆ ว่าตอนนั้นฉันชอบไปได้ยังไง เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ชอบ The Moffatts, Rapter หรืออะไรประมาณนั้น
แต่วันนี้.......

พูดได้เต็มปากว่า "รัก" Shinhwa มาก ....
"Once in a lifetime,
fly to the star.
The stars will protect your dreams.
Once in your lifetime
for that awaited day,
forever to make our way together,
love for your dreams."



::ประสบการณ์ Finance::



ช่วงเวลานี้เมื่อปี ที่แล้ว มันเป็นช่วงที่แย่สุดๆ สำหรับฉัน แต่ถ้าคิดในแง่ดี ในเรื่องที่แย่ๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆ แฝงอยู่ เป็นเรื่องดีๆ เล็กๆ ที่ทำให้ตนเองได้แกร่งขึ้นมาอีกนิด ได้ก้าวผ่านช่วงเวลานั้นด้วยสองขาของตนเอง ได้ตัดสินใจ ลองผิด-ลองถูก
การเริ่มเขียน ไดอารี่ที่เรียกว่าเป็นชิ้นเป็นอันเริ่มมาจากช่วงเวลาที่ฉันไม่มีใคร ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้คิด ได้เขียน ได้ระบาย ได้ให้ข้อคิดกับตัวเอง ฉันถือว่ามันก็เป็นเรื่องดีที่แฝงอยู่ในช่วงแย่ๆ ในตอนนั้น เมื่อวันเวลาผ่านไป มองย้อนไป ณ วันนั้น ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าปัญหาที่มันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินในตอนนั้น มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย มันเป็นปัญหาพื้นฐานของมนุษย์เกือบทุกคน
......................................

ที่รู้สึกว่ามัน เป็นช่วงเวลาที่แย่มากๆ เพราะในขณะนั้นมันสับสน ว้าวุ่น วิตกกังวล มองปัญหาเป็นปัญหา และไม่คิดหาวิธีแก้  และที่สำคัญฉันมองแต่ตัวเองมากเกินไป ไม่มองคนอื่นๆ ได้แต่ปิดขังตัวเองอยู่ในกรงเล็กๆ กรงหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ มองชีวิตทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ชีวิตราบเรียบไม่มีปัญหา ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ไม่วิตกกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เพียงใช่ที่รู้จักคิดมากขึ้น เพียงใช้ที่มองปัญหาเป็นปัญหาน้อยลง เพียงใช่ที่วิตกกังวลน้อยลง(มาก) แต่ยังไงก็ตามชีวิตคนเราจะไม่ให้มีปัญหา ไม่ให้มีเรื่องกลุ้มใจ เรื่องทุกข์ใจเลยก็ไม่ได้ จริงมั้ย?
ทุกคนมีปัญหาของตัว เอง บางคนสนุกร่าเริงดูมีความสุขกับชีวิต แต่แท้จริงแล้วหลังภาพเหล่านั้น คราบน้ำตาอาจเปลื้อนใบหน้ายามไม่มีใคร บางคนภายนอกดูแข่งแกร่ง กล้าหาญ แต่แท้ที่จริงเล่าเค้าเป็นเพียงคนอ่อนไหว อ่อนแอ
...................................... 

ฉันเชื่อว่า มีใครหลายคนในที่นี้อยากหวนกลับไปเป็นเด็กน้อย (รวมถึงฉันด้วย) แต่แท้ที่จริงแล้วใช่ว่าเด็กไม่มีความทุกข์ ลองนึกย้อนกลับไปสิ ใช่! เรามีความสุขมากกว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นมา แต่ในช่วงเวลาที่เราเป็นเด็กจริงๆ เรื่องทุกข์ๆ แย่ๆ ก็มีไม่น้อย และเรื่องเหล่านั้นก็ทำให้เด็กวัยนั้นรู้สึกไม่ดีจริงๆ มันเลยมีความคิดว่า เด็กๆ อยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ
ในแต่ละช่วงเวลา ความคิดของคนเราก็ต่างกันออกไป เราเก็บเกี่ยวเวลาในชีวิตมามากเท่าไหร่ ความยากของการก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็มากขึ้นเท่านั้น ขอเพียงอย่าท้อ เราก็จะผ่านทุกเส้นกีดขวางนั้นไปได้
......................................

วันนี้ฉันล้มลงอีก ครั้ง ถามว่ารู้สึกเจ็บมั้ย? มันก็ต้องเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ได้เจ็บขนาดทำให้ท้อ ทนไม่ได้ เพียงเจ็บแปล๊บๆ เจ็บใจตัวเองที่ไม่พยายามทำให้ได้ เวลามีมากมาย แต่ใช้ไม่เป็น ไม่ใช้ให้คุ้มค่า มันทำให้ฉันคิดว่าการที่มีโอกาสมากไปก็ใช่เป็นเรื่องที่ดี มันทำให้ตัวฉันไม่พยายามอย่างถึงที่สุด
เมื่อวันเวลาได้ ผ่านไป แล้วฉันได้กลับมาทบทวนการหกล้มครั้งนี้อีกครั้ง ฉันอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่อะไรใหญ่โตเสียเลยก็ได้ แต่สำหรับตอนนี้ สำหรับวันนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกแย่จริงๆ ฉันเตรียมตัวมา แต่เตรียมมาไม่ดีพอ ฉันพยายามที่จะทำ แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้พยายามอย่างถึงที่สุด
บางคนอาจคิดว่าการ ที่ทำข้อสอบวิชาหนึ่งไม่ได้เลย ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ใช่! ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่เมื่อเป็นวิชาที่ตั้งใจ ที่พยายาม ที่ไม่อยากเจอมันอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เนี่ย มันก็ทรมานเหมือนกันนะ
ปล. ก็แค่ทำไม่ได้เลย จะคิดอะไรมากเนี่ย !!!
ปล. ถือว่าเป็นประสบการณ์ในครั้งต่อไปละกัน "อย่าคิดว่ามีโอกาสรอเราอยู่ เราจะได้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"
ปล. เวลาโดนใครสะกิดเรื่องเพื่อนทีไหร่ มันไม่มีจิตใจจะทำอะไรเลยจริงๆ -"-

::Shinhwa Asia Tour Live In Bangkok 2006::




ช่วงนี้อยู่ในช่วง สอบ mid-term วันนี้เป็นวันแรก และแล้ว stat มันก็ได้ผ่านไปแล้ว รู้สึกโล่งจริงๆ แต่ยังไม่หมดเลยเสียทีเดียว ยังมี finance รอฉันอยู่วันศุกร์ โอ้ ... ไม่นะ T.T
ตอนเด็กๆ ชอบช่วงสอบนะเพราะมันไม่มีการบ้านให้มานั่งทำ นั่งคิด แค่อ่านๆ ทบทวนเรื่องที่เรียนๆ มาเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่ชอบเลยจริงๆ เป็นช่วงที่รู้สึกกดดัน จะดรอปไม่ดรอปมันก็อยู่ตอน mid-term นี่แหละ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทอมนี้จะไม่ต้องดรอปอะไรแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่าการรักสบายตอนต้นมีผลอย่างไรกับชีวิต
.
.
.
เมื่อวันที่ 15 ไปซื้อตั๋วคอนเสริ์ต shinhwa มา คอนเสริ์ตจะมีวันที่ 19/08 แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยเห็นโปรโมตเท่าไหร่เลย แต่ส่วนใหญ่บัตรราคาแพงๆ ก็เกือบจะหมดเต็มที่แล้ว เห็นมีเป็น package สำหรับชาวต่างชาติด้วย เป็นตั๋วเครื่องบิน+บัตรคอนเสริ์ต+ที่พัก ราคาก็อยู่ระหว่าง 14000-20000 บาท
ไม่เข้าใจว่า shinhwa กับ ประเทศไทยมันเป็นอะไรกันก็ไม่รู้ โปรโมตเท่าไหร่ไม่เคยขึ้น ไม่เคยดังกับเค้า มีโฆษณาโค้กที่อื่นเค้าฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่เมืองไทยมันมาแว๊บเดียวแล้วก็หายไป เฮ้อ ...



อันที่จริงแล้วมันก็ ไม่ใช่ไม่มีสาเหตุหรอกนะ ที่เห็นได้ชัดเลยคือ เรื่องของอายุ วงนี้สมาชิกแต่ละคนก็เลยวัยเบญจเพสมากันหมดแล้ว มีจะแตะเลข 3 ก็หลายคน นอกจากนี้ยังเรื่องหน้าตาอีก คือพวกเค้าไม่ได้หล่อขนาดเห็นแล้วอึ้ง แต่ต้องดูนานๆ บุคลิกแต่ละคนมีความโดดเด่น แต่สื่อในบ้านเรามันน้อย สำหรับเรื่องเพลง ยอมรับว่าเพลง shinhwa ไม่ได้ออกแนวตลาดจ๋า คือมันผสมๆ กันอยู่ เพราะสมาชิกแต่ละคนบุคลิกและความชอบค่อนข้างต่างกันพอสมควร สุดท้ายที่ฉันเห็นคือ ตลาดเพลงเกาหลีเพิ่งมาบูมในบ้านเราช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่มันเป็นช่วงขาลงแล้วของวงนี้ เหมือนมีบุญแต่กรรมบังจริงจริ๊ง!!
แต่ถึงจะดังไม่ดัง วันที่ 19 เดือนหน้าก็จะมีคอนเสริ์ตแล้ว ข่าววงในแว่วว่าอัลบั้มนี้น่าจะเป็นอัลบั้มสุดท้ายแล้ว ใครคิดจะตักตวงความสุขจากวงนี้ก็รีบๆ เข้า แต่เชื่อได้ว่าในอนาคต shinhwa จะเป็นตำนานอีกวง เช่นเดียวรุ่นพี่ใน sm town อย่าง H.O.T อย่างแน่นอน
.
.
.
ไดฯ หน้านี้อาจแตกต่างจากไดฯ หน้าอื่นๆ แต่อยากเขียนเก็บเอาไว้ ในวันข้างหน้าถ้ากลับมาอ่าน อยากรู้ว่ายังจะคงชอบวงนี้อยู่รึเปล่าเมื่อกาลเวลามันผ่านไป
ปล. ช่วงนี้คงไม่ได้ไปเยี่ยมไดใครบ่อยนัก ไว้หลังสอบตั้งใจจะกลับคืนสู่สภาพเดิม :)
..........
*หมายเหตุ : อยากอัพได แต่ไม่มีอะไรให้เขียน อยากเขียนอะไรที่มีสาระ แต่ .... ออกมาหาสาระไม่ได้ -"-



::Grandmom & NiceSis::



 
ไดอารี่วันนี้ขอมอบแด่หญิงสองคนผู้เป็นที่รักของฉัน ...
ก่อนอื่นอยากบอกว่า ตั้งใจจะมาอัพตั้งแต่วันที่ 15 ที่ผ่านมาแล้ว แต่เนื่องจากเว็บล่ม และรอจนหมดอารมณ์อัพ (ขนาดแค่คลิกขวาCopy แล้วเอามาPasteยังไม่มีอารมณ์ทำเลย!)
.
.
.
เมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 10 ปีที่คุณยายได้จากฉันไป เวลามันผ่านไปเร็วเนอะ ผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย ช่วงเวลาที่ท่านจากไปนานกว่าที่ท่านได้อยู่กับฉันเสียแล้ว
 
ตอนเด็กๆ คุณยายเลี้ยงฉันมาตลอด เพราะพ่อกับแม่มักจะกลับถึงบ้านดึก บางวันก็นอนกับยาย อยู่กับยาย และพูดได้เต็มปากว่าสนิทกับคุณยายมากกว่าแม่ ในความทรงจำวัยเด็กจำได้ว่า คุณยายเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย แต่ท่านเป็นคนมีอำนาจ เป็นที่เกรงใจของใครหลายๆ คน ช่วงตอนที่ท่านยังอยู่อะไรอย่างๆ อย่างภายในบ้านดูร่มรื่น มีความสุข อาจจะมีบ้างที่ขรุขระแต่ก็ไม่มากเท่าทุกวันนี้ พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มเงาของสมาชิกภายในครอบครัวทุกคน
 
ฉันเชื่อนะ ถ้าท่านยังอยู่ ฉันก็อาจจะไม่ได้เติบโตมาเป็นตนอย่างนี้ อย่างน้อยๆ นิสัยส่วนตัว กริยาท่าทาง ความคิดความอ่าน ก็คงจะดีกว่านี้หลายเท่า ตอนที่ท่านจากไปฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพัก ช่วงที่ฉันกำลังก้าวสู่ช่วงวัยรุ่น ฉันยอมรับว่าบางครั้งฉันรู้สึกเสียสูญ รู้สึกไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
.
.
.
สองสามวันที่แล้วไปค้น รูปตอนเด็กที่ถ่ายคู่กับคุณยาย ค้นไปค้นมาไปเจอรูปที่ถ่ายคู่กับพี่สาวคนหนึ่งเข้า เห็นแล้วก็ทำให้ฉันอมยิ้มขึ้นมา
 
นึกๆ ดูแล้วตั้งแต่เล็กจนโต เราทั้งคู่เหมือนเป็นพี่น้องกันจริงๆ มีเค้าที่ไหนก็มักจะมีอาหมวยคนนี้อยู่ด้วยเสมอ เราอายุห่างกันเพียง 8 เดือน อาจจะด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้เราทั้งคู่สนิทกันมากกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ไม่ใช่เราไม่เคยทะเลาะกันเลย มันก็ต้องมีบ้างตามประสาเด็กๆ จนถึงตอนนี้อาจจะไม่ได้ทะเลาะกันแล้ว แต่ก็มีบ้างที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เรามักจะพูดกันให้เคลียร์มากกว่า
  
ทุกวันนี้เค้าไม่ใช่ เพียงพี่สาวคนหนึ่ง แต่เค้าเป็นเหมือนเพื่อนที่ฉันสามารถระบายเรื่องทุกเรื่องได้ เป็นเหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีกิ่งก้านให้ร่มเงาน้องคนนี้ บางทีฉันเองยังไม่เชื่อเลยว่าวันเวลาที่ผ่านมา จะทำให้เราทั้งคู่สนิทกันได้ขนาดนี้ การที่เราเติบโตมาด้วยกันคงจะเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่ง

::วันศุกร์ที่สุขแบบสบายๆ::



เช้า นี้ตั้งใจจะไปวังหลัง ไปนั่งทอดอารมณ์ดูสายน้ำหลักของชาวกรุง ไปที่นั่นทีไหร่ กลับมาอิ่มเอมใจเกือบทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงฉันคนเดียวนะที่คิดเช่นนี้ หลายคนรอบตัวฉันก็เป็นเหมือนกัน
แต่แล้วก็ไม่ได้ไป มันมาจากสองสาเหตุใหญ่ๆ ...
สาเหตุแรก อาการปวดท้องมาเตือนว่าอาการทรมานประจำเดือนจะมาแล้วนะ มันปวดท้องนิดๆ แล้วท้องมันก็ป่อง (ไม่ได้เบนโลนะ :p) พอป่องมันก็ใส่กางเกงไม่ได้ กางเกงมันปริอย่างรุนแรง ไอ้กางเกงตัวอื่นๆ ก็ลงไปอยู่ในตะกร้าผ้าเรียบร้อย แล้วทีนี้จะใส่อะไรไปล่ะ? สรุปคือไม่มีอะไรให้ใส่ไป!

สาเหตุ สอง ความอึดอัดมันบังเกิดขึ้นเมื่อชายของเพื่อนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ฉันไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรมากมายหรอกนะ แต่คิดว่ามันคงไม่สนุกแล้ววันนี้ อยากจะพูด อยากจะคุยอะไรกับเพื่อน เรื่องบางเรื่องมันก็ระบายออกไปไม่ได้ ออกไปไม่เต็มที่ เดี๋ยวจะพาลเอาความอึดอัดกลับบ้านมาอีก ดังนั้น อยู่ที่บ้าน อยู่กับตัวเอง แต่ไม่อึดอัดคงดีกว่า

.

.

.

ตอนบ่ายๆ ออกไปข้างนอก ไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ไปเดินเล่น คุยนู้นคุยนี่ เลยเถิดไปถึงเรื่องสมัยเด็กๆ เหมือนคนแก่นั่งคุยกัน คิดๆ ไปมันก็ขำดีนะ :) หลายๆ เรื่องที่ความคิดพวกเราเปลี่ยนไป การเป็นเด็กก็ดีไม่ต้องรับผิดชอบ แต่เด็กทุกคนก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ทุกคนหนีสิ่งนี้ไม่ได้ ตอนเด็กๆ ก็แปลกอย่างโตเป็นผู้ใหญ่ พอโตขึ้นก็อยากกลับไปไร้เดียงสาเหมือนตอนเด็กๆ อีก

พูดถึงเพื่อนคนนี้ ตอนเด็กๆ มันสูงเท่าไหน ตอนนี้ก็ยังเท่าเดิม (อย่าว่าแต่มัน ฉันเองก็ด้วยนี่หน่า !!) มันก็ยังเป็นป้าๆ อยู่ แต่ใช่ว่าทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม หลายอย่างเหมือนกันที่มันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ฉันรับมันได้บ้างไม่ได้บ้าง รำคาญมันมากขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง ถึงการกระทำที่ฉันแสดงออกไปอาจจะเย็นชา แต่ใช่ว่าฉันรักหรือห่วงมันน้อยลง มันเคยพูดไว้ว่า “กุไม่ไปไหนหรอก กุก็คอยดูมรึงอยู่ข้างหลังอย่างนี้แหละ” คำพูดนี้มันมีความหมาย .... มันมีความหมายจริงๆ

.

.

.

Pirates of the Caribbean เข้าโรงแล้ว อยากไปดูหนังเรื่องนี้เหลือเกิน เพราะติดใจจากภาคแรก อันที่จริงฉันเป็นคนเข้าโรงหนังไม่บ่อย แต่เก็บตกจากดีวีดี วีซีดีแทน ไม่ใช่ไม่ชอบเข้าโรงหนัง แต่บางทีเวลาและความรู้สึกมันไม่พอดี บางเรื่องออกโรงไปแล้ว แต่เพิ่งมีความรู้สึกว่าอยากดู แปลกๆ เนอะ ?!?





ป.ล. ตอนนั่งรถไปหาเพื่อน ได้ยินเพลง “ใช่เลย” ภาพของใครคนหนึ่งก็ลอยมาเป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปราว 8 ปีได้แล้ว นึกๆ แล้วก็ขำดีแฮะ

ป.ล. นั่งๆ คิดอะไรอยู่ แล้วได้ยิน หรือได้เห็นอะไรซักอย่างแล้วทำให้ยิ้มออกมา แปลว่า มีความสุขใช่มั้ย? ถ้าใช่ วันนี้คงเป็นวันศุกร์ที่ฉันสุขแบบสบายๆ ล่ะสิ ^^