Showing posts with label travel series. Show all posts
Showing posts with label travel series. Show all posts

::1000 Steps::








It's not about the destination, but the journey and people along the way.
[Some pictures were taken by Ari & Phoenix.]

::Elwood Beach::



Elwood Beach is one of the beaches here in Melbourne where I had wanted to go for a while. Eventually, I went there yesterday after a year living here. 

It is a place where buses are only a public transportation to get there. I planned to take a tram no.16 in front of my house, then changed to bus no.606 at St Kilda. However, there was a truck accident that caused tram stopped working. So I changed to take a train from Glenferrie to Richmond station and switched to Sandringham line and jumped off at Elseternwick station and then took a bus back to Elwood. 

Even though it was a little bit too hot for me, but I can say the weather was really good yesterday. The sky was very clear and beautiful.  

For me, I prefer this beach to other two near famous beaches. Perhaps, it is because it is not crowded and there is a big park I can walk and play around. Particularly, the viewpoint at Point Ormond is real good. 

I love walking and it is very good to have a friend here who loves the same. Instead of taking a bus to St kilda, we chose to walk as it is only 2 kilos apart. It was another walk to remember. 

::Rip Curl Pro Bells Beach 2014::




แม้การศึกษาคือเหตุผลหลักของการย้ายถิ่นฐานชั่วคราวมาออสเตรเลีย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวของการเดินทางมาที่นี่ เรายังคงตั้งมั่นในการเดินทางรอบประเทศที่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของโลกแห่งนี้ เรายังพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นชิน เราพร้อมที่จะคว้าทุกโอกาสที่พุ่งเข้ามา เฉกเช่นเดียวกับการลองผจญภัยในเส้นทางแปลกใหม่

Easter Saturday ที่ผ่านมา เรานั่งรถไฟจากบ้านผ่านตัวเมืองเพื่อเดินทางไป Geelong ต่อรถประจำทาง และกระโดดขึ้นรถ free shuttle bus มุ่งหน้าสู่ Bells Beach สถานที่แข่งขันเซิร์ฟระดับโลกโดยมี Rip Curl Pro เจ้าภาพ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 53 แล้ว

เราไม่แน่ใจนักว่าเราสนใจกีฬาชนิดนี้มานานมากเท่าไหร่ เราเพียงรู้ว่ามันค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในใจเราทีละเล็กทีละน้อยในช่วงวัยเยาว์ และพุ่งพรวดโจนทะยานในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา  

เนื่องจากวันพฤหัสและศุกร์สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ทั้งสองวันกลายเป็น lay day ของการแข่งขัน เช้าตรู่วันเสาร์เราจึงตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อเช็คโปรแกรมการแข่งขันให้ แน่ใจว่ามัน on หรือ off ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เป็นใจ การแข่งขันเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ระหว่างแต่งตัวเราก็ดูถ่ายทอดสดไปด้วย Nat Young หนึ่งในนักเซิร์ฟคนโปรดของเราก็ทำได้ดีในรอบนั้น แม้วันนี้จะตกรอบสามไปแล้วก็ตาม

จากบ้านที่ Glenferrie เรานั่งรถไฟไปลงที่ Southern Cross สถานีรถไฟที่มีกลิ่นอายของหมอชิตใหม่ลอยอยู่จางๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการรถไฟ V/Line (ไป-กลับ $15.68) เราชอบบรรยากาศระหว่างทางมาก มีแต่ทุ่งนา มองแล้วสบายตาสบายใจ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ใจเราย้ำเตือนให้ตัวเรารู้ว่าถึงแม้เราจะเกิดในเมือง ใหญ่แต่ตัวตนของเรากลับไม่ใช่คนที่สามารถทนทานกับความวุ่นวายแบบนั้นได้นาน นัก

หนึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินเราก็มาถึง Geelong เราต้องรีบออกจากสถานีเพื่อสอดส่องที่จอดรถประจำทางสาย 74 Geelong-Torquay-Jan Jac (ไป-กลับ $4) หากใครเดินออกทางเข้าออกหลักก็จะเจอที่จอดรถประจำทางอยู่ตรงหน้าเลย แต่หากใครออกประตูเล็กเหมือนเราก็เดินตรงแล้วมองขวาไว้ ไม่ไกลเลยเราก็จะเห็นรถประจำทางหลายสายจอดรอเราอยู่

คงเพราะเป็นวันหยุดยาวและประกอบกับที่สองวันก่อนงดการแข่งขัน วันเสาร์ที่ผ่านมาทั้งวัยรุ่นออสซี่และหลายเชื้อชาติต่างพากันมุ่งหน้าไปร่วมงาน หมุดที่ปักไว้ในแผนที่ในหัวแทบไม่ต้องใช้เพราะเมื่อถึงเวลาจริง พวกเขาลงที่ไหนเราก็ลงตามเขาไปนั่นแหละ

สี่สิบห้านาทีผ่านไป ผู้โดยสายค่อนรถลงที่ป้ายรถประจำทางเยื้อง Surf City ซึ่งเป็นที่จอดรถ free shuttle bus โดยรถจะออกทุกๆ ชั่วโมง แต่มีบริการเฉพาะช่วง long Easter weekend ที่ผ่านมาเท่านั้น หากวัดจากระยะทางที่ห่างกันไม่ถึงสิบกิโลเมตร เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง Bells Beach เพราะรถเยอะมาก นี่อาจจะเป็นการไปงานเทศกาลที่นี่ครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจขนาดนี้ ไม่สิ! อาจจะน้อยกว่า St Kilda Festival หน่อยนึง

รถลงปุ๊บก็เดินไปต่อคิวซื้อตั๋วเข้างาน แถวยาวมากแต่ไม่ใช้เวลานานอย่างที่คิด ถ้าใครมางานวันเดียวแบบเราค่าเข้าอยู่ที่ $8 ส่วนใครจะมาเกินสามวันก็ซื้อตั๋วแบบ festival pass $25 จะคุ้มกว่า ประเด็นอยู่ที่ลูกเด็กเล็กแดงไม่เกินสิบหกขวบ"ฟรี"

บรรยากาศในงานสนุกสนาน คนเยอะกำลังดี อากาศก็ไม่ได้เลวร้าย ลมพัดทีก็หนาว แดดออกทีก็ร้อน เผลอแป๊ปเดียวฝนก็พรำเม็ดเบาๆ นี่แหละรัฐ Victoria

เจอกันปีหน้าอีกนะ :)

::The Northern Laos Series - ถึงวังเวียงแล้วจ้า::




11 โมงตรงคนเต็มคันรถ พี่คนขับเหยียบคันเร่งเร่งเครื่อง 2-3 ครั้งแล้วก็พารถเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังสถานี เราไม่เห็นกับตาแต่เดาว่าเขาพารถมาเติมน้ำมันที่นี่ 11 โมงเศษก็ถึงเวลาล้อหมุนของจริง คนส่วนใหญ่บนรถเป็นชาวลาว ส่วนน้อยก็คือเรากับเพื่อนแล้วก็พี่ผู้ชายที่เพื่อนได้คอนเฟิร์มว่าเป็นคนไทย รวมแล้วก็น้อยมากจริงๆ 3 คนเท่านั้นค่ะ


ใช้เวลานานพอสมควรเลยกว่าจะผ่านเขตชานเมืองของเวียงเทียน เรานั่งรับลมไปสักพักก็หลับปุ๋ย มาตื่นอีกทีตอนที่เริ่มมีภูเขาสวยๆ ให้เห็นนอกหน้าต่างบ้างแล้ว รถจอดให้ผู้โดยสารลงไปปลดทุกข์ตลอดทาง ประมาณใครปวดก็ส่งเสียงบอกได้เพราะห้องน้ำมีให้เข้าตลอดทาง ก็ตามพุ่มไม้ตามสองข้างทางนั่นแหละค่ะ ระหว่างทางก็ไม่พลาดที่รถจะเสีย น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับล้อหลังด้านซ้าย แต่เครื่องไม้เครื่องมือพี่เขาพร้อม ไม่นานก็ไปต่อได้สบาย พอขับไปถึงครึ่งทางก็แวะจอดที่จุดพักรถค่ะ แม่ค้าขายไก่รีบวิ่งตาลีตาเหลือกมาชูไก่ย่างต่อลองราคากันอย่างสนุกสนาน นอกจากไก่ย่างแล้วก็มีพวกผลไม้ น้ำ และเบียร์ลาวด้วย ส่วนเราก็นั่งดูมหกรรมไก่ลอยไปลอยมาบนอากาศอย่างเพลิดเพลิน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บมาฝาก


วังเวียงเป็นเมืองขนาดเล็กในหุบเขาที่อยู่ห่างจากเวียงจันทน์ 156 กิโลเมตร รถประจำทางปรับอากาศ(ธรรมชาติ)จอดส่งเราใกล้ๆ กับสนามบินเก่าของวังเวียงตอนบ่าย 2 โมงครึ่งพอดิบพอดี จากที่ทำการบ้านก่อนมาบวกกับเล็งพิกัดจากแผนที่ในมือ เราเข้าใจว่าตัวเมืองวังเวียงไม่ได้ห่างจากที่ๆ เรายืนอยู่เลย เราจึงบอกปัดรถจัมโบ้ที่จอดรอรับส่งผู้โดยสาร ทีแรกก็ถามราคาอยู่แต่ต่อรองแล้วไม่ได้ราคาที่พอใจเราจึงเลือกที่จะเดินเข้าเมืองแทน ในที่สุดก็ไม่เสียเปล่าที่ทำการบ้านมาเพราะตัวเมืองวังเวียงอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถเลย

 
ในวันนั้นเมืองวังเวียงช่วงบ่ายเงียบมาก เรามีที่พักอยู่ในมือ 2-3 ที่ เราเดินไปหาหนึ่งในเป้าหมายของเราและได้คำตอบกลับมาว่าห้องพักเต็มแล้วและพี่สาวคนนั้นแนะนำให้เราเดินเข้าไปโซนในเมือง ที่นั่นราคาถูกและน่าจะมีห้องพักเหลืออยู่อีกมาก แต่เราไม่อยากพักในเมืองเพราะรู้ว่ามันเต็มไปด้วยร้านอาหารกึ่งผับและนักท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่แถวนั้นมากเกินไป เราเลือกเดินไปสุดถนนเส้นหลักเพื่อไปหาอีกหนึ่งเป้าหมายของเราคือ Jammee Guest House เราสนใจที่นี่เพราะหลายๆ รีวิวใน tripadvisor ให้คำจัดความที่พักแห่งนี้ว่าน่ารักและอบอุ่น ที่สำคัญอยู่ใกล้กับถ้ำจังที่เราตั้งใจจะเดินไปสำรวจในวันรุ่งขึ้น


เราพบกับฝรั่งคนหนึ่งกำลังยืนอธิบายเส้นทางท่องเที่ยวให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชายเอเชียกลุ่มหนึ่งอยู่ ทั้งชื่อ การกระทำ และบุคลิกทำให้เราจะเข้าใจไปเองว่าเขาคือเจ้าของที่พักแห่งนี้ เราต่อลองราคากันเล็กน้อยด้วยภาษาอังกฤษ เราได้พักห้องแอร์ห้องใหญ่พร้อมบริการอาหารเช้าในราคา 150,000 กีบซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสักนิดหากเทียบกับคุณภาพและไมตรีที่ได้รับ เราสอบถามถึงที่ลงเรือล่องแม่น้ำซองและจองรอไปหลวงพระบางในคืนวันรุ่งขึ้น ฝรั่งที่เราติ๊ต่างเอาเองว่าเป็นเจ้าของที่พักหยิบแผนที่เล็กๆ แล้วก็อธิบายที่เที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจและตบท้ายว่าเรื่องรถเขาจะบอก"สม"ให้ เขาเป็นคนที่นี่จะติดต่อได้ดีกว่า เราเลยกำชับเขาว่าถ้าได้เรื่องยังไงช่วยบอกด้วยเพราะรู้มาว่ารถรอบกลางคืนไม่ค่อยมีนักเดินทางต่างถิ่นเดินทางกันบ่อยนัก


เก็บข้าวของยังไม่ทันเสร็จฝนก็เทกระหน่ำลงมา แผนที่ตั้งใจว่าจะเดินเข้าเมืองไปหาอะไรทานก็ต้องพับไว้ชั่วคราว เราหยิบโทรศัพท์มาเล่นเพื่อที่จะฆ่าเวลาแต่ wifi ก็ดันมีปัญหา เราจึงออกจากห้องตั้งใจจะไปถามเรื่อง wifi แต่รอบนี้เราไม่ได้เจอแค่ฝรั่งคนเดียวแล้วแต่มีชายชาวลาวยืนอยู่ด้วย ฝรั่งสูงอายุแนะนำให้เรารู้จักว่านี่คือ"สม" คนที่เขาพูดถึงเมื่อสักครู่ ทีแรกเราคุยกับ"สม"เป็นภาษาอังกฤษ คุยไปคุยมาเขาถามเราว่าเราเป็นคนไทยใช่ไหมด้วยภาษาลาวปนไทย เราบอกว่าใช่และหลังจากนั้นเราก็พูดไทยใส่กันอย่างได้อรรถรส พี่สมแนะนำเรื่องลงเรือชมแม่น้ำซอง รวมถึงเที่ยวรถว่าเขาต้องโทรไปเช็คที่เวียงจันทน์ก่อนว่าที่เต็มรึยังเพราะเป็นรถที่ออกจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง ส่วนรถที่ออกจากวังเวียงจะเป็นรอบเช้ากับเที่ยงเท่านั้น คุยไปคุยมาจนฝนซาเราจึงได้เดินเข้าเมืองอย่างที่ตั้งใจไว้

::The Northern Laos Series - ชีวิตบนยานพาหนะ::



หลังจากนั่งคลำเส้นทาง ที่กิน ที่พักมาหลายวัน ค่ำคืนวันออกเดินทางก็มาถึง เรานั่งรถไฟขบวน 69 ตามตารางเวลารถไฟจะออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงตอน 2 ทุ่มตรงและจะถึงสถานีรถไฟหนองคายตอน 7.45 ก่อนขึ้นรถไฟเราทำใจไว้แล้วกับ hard sell ขายอาหารและเครื่องดื่มของพี่ๆ บนรถไฟ แต่แปลกที่วันนี้ไม่มาป้วนเปี้ยนแถวเราเลย อาจจะเพราะมีพี่น้องชาวม้งเป็นเหยื่ออันโอชะไปแล้วก็เป็นได้






เราเลือกที่จะนอนชั้นบนเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของพี่น้องชาวม้งร่วมขบวน เราจับใจความจากที่พวกเขาคุยกันได้ว่าพวกเขาเพิ่งบินตรงมาจากอเมริกาเพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด รุ่นพ่อรุ่นแม่ยังพูดภาษาถิ่นและภาษาไทยได้ แต่รุ่นลูกๆ นั้นพูดภาษาอังกฤษกันหมดแล้ว ครั้งนี้เรานอนหลับค่อนข้างสนิท ไม่เหมือนทริปที่นั่งรถไฟไปเชียงใหม่คนเดียวเมื่อปีที่แล้วที่พ่อหนุ่มฝรั่งวัยโจ๋เตียงข้างบนทำกิจกรรมช่วยตัวเองกลางดึก ซาวด์ก็ดัง เตียงก็สั่น จำได้ว่านอนหลอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน


รถไฟไทยไม่เคยตรงต่อเวลา ดังนั้นการที่เรามาถึงหนองคายช้ากว่าเวลาที่กำหนดเพียงชั่วโมงเดียวเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากแล้ว แบกเป้ขึ้นบ่าแล้วเดินปรี่ไปซื้อตั๋วรถไฟขบวน 913 ที่จะพาเราไปสถานีรถไฟท่านาแล้ง ประเทศลาว อย่างที่บอกไว้เมื่อครั้งที่แล้วค่ะว่ารถไฟระหว่างประเทศขบวนนี้จะไม่ออกจากชานชาลาจนกว่ารถไฟขบวน 69 จากหัวลำโพงจะมาถึง ดังนั้นๆ ทำใจให้สบายและซึมซับบรรยากาศสองข้างทางได้ตามอัธยาศัยค่ะ




รถไฟสีม่วงคันเล็กน่ารักซึ่งซื้อต่อมาจากประเทศญี่ปุ่นค่อยๆ พาเราข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไม่นานเท้าทั้งสองข้างก็ได้แตะแผนดินลาวค่ะ เพื่อนร่วมขบวนส่วนใหญ่ก็ตามคาดคือเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ยังได้เจอพี่สาวชาวไทยที่มากับแฟนชาวต่างชาติกับลูกน้อย กับอีกหนึ่งหนุ่มไทยที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่นัก ด่านท่านาแล้งนักท่องเที่ยวน้อยจริงค่ะ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและพี่ๆ คนขับรถรับจ้างก็น้องด้วย


ขั้นตอนการเข้าเมืองก็แค่กรอก immigration form จ่ายเงิน 50 บาท เป็นอันเสร็จพิธีสำหรับนักเดินทางที่ใช้แค่ passport ผ่านแดนค่ะ ส่วนชาวต่างชาติที่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศลาวด้วยก็จะรอนานนิดนึง




อย่างที่บอกไปว่าทุกอย่างที่ด่านท่านาแล้งน้อยไปหมด ผ่านด่านได้เร็วจริงแต่ก็เสียค่ารถเข้าเมืองแพงจริงเหมือนกัน เราตกลงกับพี่สาวชาวไทยกับหนุ่มใหญ่พูดจาไม่เข้าหูคนนั้นว่าจะเหมารถเข้าเมืองไปด้วยกัน แต่พอได้คุยต่อรองกับคนขับรถแล้วเขาไม่ลดให้เราเลยค่ะ แถมยังต้องไปเสียเวลาไปส่งพี่สาวที่โรงแรมในเมืองแล้วก็ส่งหนุ่มใหญ่ที่ตลาดเช้าอีกด้วย พอดีมีพี่คนขับรถอีกคนมาให้ราคาแบบฆ่ากันเห็นๆ ทำอย่างไรได้ล่ะคะ เบี้ยน้อยหอยน้อยก็ต้องใช้สอยประหยัดหน่อยล่ะค่ะ แต่ขนาดว่าประหยัดแล้วก็ยังโดนไป 200 บาทเพราะเราให้พี่เขาไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือที่อยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองไปมากเหมือนกัน


45 นาทีผ่านไป รถกะบะที่แปลงสภาพเป็นรถรับจ้างสองแถวพาเรามาถึงสถานีขนส่งสายเหนือ เหตุผลที่เลือกไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งสายเหนือแทนสถานีขนส่งตรงตลาดเช้าเพราะรู้มาว่ารถจากตลาดเช้าที่ไปวังเวียงส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้ซึ่งเป็นยานพาหนะที่หากเราเลี่ยงได้ก็พยายามจะเลี่ยง ถึงแม้รถตู้จะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ารถทัวร์ก็จริงแต่ก็อย่าลืมว่ามีบ่อยครั้งที่รถตู้พาผู้โดยสารไปไม่ถึงจุดหมาย




โชคชะตาเป็นใจเมื่อเรามาทันรถไปวังเวียงรอบ 11 โมงพอดี สภาพรถภายนอกดูดีเลยทีเดียวนะคะ คล้ายๆ รถป.1 บ้านเราเลยค่ะ แค่่ไม่เปิดแอร์เฉยๆ เรียกว่ารถปรับอากาศธรรมชาติ สนนราคาค่าเดินทางคนละ 60,000 กีบ ส่วนถ้าใครต้องการแลกเงินก็สามารถแลกเงินได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วได้เลย เราก็แลกที่นี่ค่ะเพราะที่ด่านท่านาแล้งไม่มีที่ให้แลกเงิน เอาจริงๆ ก็คือมันไม่มีอะไรเลยค่ะ!


เรทแลกเปลี่ยน ณ วันเดินทาง 1 บาท = 250 กีบ




ส่วนนี่คือปี้(ตั๋ว)รถจากเวียนเทียนไปวังเวียงค่ะ คือว่า แบบว่า ลายมือคุณพี่ขายตั๋วดูหมอมากค่ะ คือแบบว่า คือว่า อ่านไม่รู้เรื่องเลยว่าขึ้นจากไหนแล้วจะไปลงไหน รู้แต่ว่ารถออก 11 โมงนะจ๊ะ ระวังตกรถ!!!

::The Northern Laos Series - สนุกอย่างที่คิดแม้ไม่พร้อมอย่างที่เคย::




การเดินทางครั้งนี้ถูกวางไว้ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งนั่นทำให้กว่าจะได้เดินทางก็ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย เราต้องเปลี่ยนวันเดินทางให้เร็วขึ้นเพราะต้องกลับมาให้ทันพิธีพระราชทาน เพลิงศพของก๋ง ซึ่งนั่นทำให้การวางแผนหลายๆ อย่างฉุกละหุกขึ้นมาเล็กน้อย กอปรกับก่อนหน้าที่จะเดินทางไปลาวในครั้งนี้เรามีอีกหนึ่งการเดินทางครั้ง ใหญ่ที่เราต้องวางแผนให้รอบคอบ


จากการเปลี่ยนวันเดินทาง เราจึงเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟสายหัวลำโพง-หนองคายแทนการขึ้นเครื่องบินไป ลงที่อุดรธานี อย่างที่รู้ๆ กันว่าการเดินทางด้วยรถไฟไทยนั่นเสี่ยงต่ออุปสรรคด้านเวลาแต่สำหรับเราการ เดินทางอันแสนยาวนานด้วยรถไฟมันกระตุ้นและกระตุกต่อมเดินทางของเรามากกว่า การเดินทางด้วยยานพาหนะอื่นใด


เราวางแผนไว้คร่าวๆ และหวังว่าหากครั้งนี้รถไฟจะทำตัวเป็นเด็กดี ไม่เกเรหมดแรงกลางทาง เราจะไปถึงหนองคายไม่ช้าไปกว่าสิบโมง แล้วเราจะรีบขึ้นรถไฟระหว่างประเทศหนองคาย-ท่านาแล้งเพื่อต่อรถไปสถานีขนส่ง สายเหนือซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์พอสมควร


เรามีข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟระหว่างประเทศสายนี้มาแบ่งปันค่ะ นั่นคือคุณไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจไปว่าคุณจะตกรถไฟ เพราะแท้ที่จริงแล้วรถไฟสายนี้จะไม่ออกจากชานชาลาจนกว่ารถไฟขบวนที่ 69 หัวลำโพง-หนองคายจะมาถึงแน่นอน ส่วนเราก็นั่งๆ นอนๆ หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ เก้อมาตลอดทางด้วยความไม่รู้ข้อเท็จจริงข้อนี้


กลับมาที่แผนการเดินทางคร่าวๆ กันต่อเลยดีกว่า พอถึงสถานีท่านาแล้งและผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราจะหาเพื่อนร่วมทางซึ่งคาดการณ์ว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวต่างชาติแชร์ค่ารถ ไปสถานีขนส่งสายเหนือ ซึ่งตามแผนและประสบการณ์ที่มีเราคิดว่ามันไม่น่ายากเลย แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดการณ์ไว้และราคามันแพงมหาโหดเลยล่ะ


เราเลือกที่จะซึมซับบรรยากาศแม่น้ำซองที่วังเวียงก่อนหนึ่งคืนก่อนเดินทาง ต่อไปหลวงพระบางในคืนถัดไป เรามักเลือกเดินทางกลางคืนเพราะมันเป็นการประหยัดค่าที่พักและเราก็จะได้ เวลาเดินเที่ยวในที่ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในช่วงกลางวัน ซึ่งข้อเสียคงจะเป็นเราจะไม่เห็นทิวทัศน์สองข้างที่สวยงามนั่นเอง


เราไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะทำกิจกรรมอะไรในวังเวียงเป็นพิเศษ แค่อยากเดินดูเมือง อาจจะขี่จักรยานชมเมือง หรือนั่งเรือชมแม่น้ำซอง ดูฝรั่งเล่น tubing เมาแอ๋กันไป ที่เดียวที่ตั้งใจไปในวังเวียงครั้งนี้คือถ้ำจัง ส่วนที่พักก็ดูไว้คร่าวๆ 2-3 ที่ค่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะเดินดู ถูกใจที่ไหนก็พักที่นั่นเพราะมันละลานตาเหลือเกิน


พูดถึงที่พักแล้วก็มาต่อที่พักในหลวงพระบางกันบ้าง ที่พักในหลวงพระบางก็มีให้เลือกมากมายไม่แพ้วังเวียง มีหลายระดับให้เลือกอยู่ สำหรับหลวงพระบางเรามีในใจที่เดียวค่ะนั่นคือเฮือนพักอุดมสุข ส่วนแผนเที่ยวในหลวงพระบางนั้นก่อนไปเราจดไว้เยอะมาก มีหลายที่ที่อยากไปแต่พอเอาเข้าจริงๆ เก็บไม่ทัน เวลาหมด ความขี้เกียจมาเยือน และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ในขณะเดียวกันเราก็มีโอกาสได้ไปในที่ๆ ไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่เตรียมมา


แต่เหนือสิ่งอื่นใดการเดินทางครั้งนี้เราต้องกลับไปซ่อม ไม่อย่างนั้นเราคงนอนตายตาไม่หลับแน่นอน


::Art Normal | ปกติศิลป์::




เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปปั่นจักรยานชมเมืองราชบุรีเพื่อถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวเล็กๆ ซึ่งเป็นโปรเจคใหม่ของเรา





ครั้งนี้เราออกเดินทางด้วยรถไฟขบวนที่ 43 เป็นรถด่วนพิเศษ sprinter หัวลำโพง - สุราษฎร์ธานี เมื่อเราไปถึงหัวลำโพง ทางสถานีได้แจ้งว่ารถไฟขบวนนี้จะออกเดินท างช้ากว่าเวลาบนตั๋ว 15 นาที มันเป็นภาพเหตุการณ์ทับซ้อนเหมือนเคยเกิดขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่าเมื่อขึ้นรถไฟ รอ ร๊อ รอ ชะโงกแล้วชะโงกเล่า และเมื่อเวลาผ่านไป 40 นาที รถไฟที่รักก็ค่อยๆ มุ่งตรงสู่ชานชาลาที่ 9





ระหว่างการเดินทาง, มีฝรั่งหนุ่มสาว 2 คนในโบกี้ขึ้นผิดขบวน เจ้าหน้าที่ก็พยายามสื่อสารและอธิบายยืดยาวถึงการทำงาน เราเข้าใจว่ากฏต้องเป็นไปตา มกฏแต่ก็แอบสงสารหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ได้ เราพยายามช่วยสื่อสารเต็มที ่แล้ว และภาวนาว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่คงถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย


เราถึงสถานีรถไฟราชบุรีประมาณ 11 โมงกว่า ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะตั้้ง ใจจะกลับรถไฟฟรีตอน 4 โมงเย็น แต่ก็ต้องตกรถเพราะเพลิดเพลนกับการปั่นจักรยานชมเมืองไปหน่อย

 


 

เราใช้บริการรถมอเตอร์ไซรับ จ้างที่จอดอยู่หน้าสถานี คนขับชื่อ"พี่ตี๋" แกบอกว่าถ้าจำชื่อไม่ได้จำแค่เบอร์2 ก็พอ พี่แกแจกเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อการใชบริการในขากลับ พี่ตี๋คิดเรา 30 บาทจากสถานีรถไฟไป D Kunst Gallery ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองบน ถนนวรเดช เราถือว่าเป็นราคาที่รับได้เพราะก็ไกลอยู่เหมือนกัน








ก่อนมาเราพยายามหารายละเอียดเกี่ยวกับร้านเช่าจักรยานและพบว่าในตัวเมืองราชบุรีไม่มีร้านเช่าจักรยานหรือมอเตอร์ไซ แต่เชื่อว่าอีกหน่อยคงจะมีเพราะคนนิยมปั่นจักรยานกันมากขึ้น เราโชคดีที่จักรยานของทางแกลอรี่ยังมีเหลืออยู่บ้าง เขาให้ยืมฟรีแค่แลกบัตรประชาชน เจ๋งมากๆ 

 



เราประทับใจทั้งเจ้าของแกลอรี่และน้องๆ ที่ทำงานในแกลอรี่มาก เป็นกันเอง พูดจาดี และดูแลดี แต่ลาเต้มันหวานไปหน่อยนะ! นอกจากนี้เรายังชอบดีไชน์ของห้องน้ำในแกลอรี่มากๆ วัสดุที่ใช้มัน art normal สมชื่องานสุดๆ





แม้เราจะไม่ได้ปั่นไปครบทุกที่ที่อยู่ในแผนที่ของการจัดงาน เพราะทีแรกเราตั้งใจจะกลับรถไฟซึ่งทำให้เรามีเวลาอยู่ในเมืองแค่ 4 ชั่วโมง ปั่นไปร้านตัดผมยืนคุยกับคุณลงเจ้าของร้านก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว เราก็ค้นพบว่าเราชอบการพูดคุย แลกเปลี่ยนทรรศนะกับผู้คนเหล่านี้ ชอบที่ได้ถามและรับรู้ ไม่เบื่อเลยที่ยืนฟังลุงแกเล่าทั้งเรื่องสมาคมตัดผม เรื่องประวัติร้านของแก และเลยไปถึงเรื่องอื่นๆ เราว่ามันสนุกดี 

 




ช่วงเย็นๆ จะมีตลาดนัดมาขายบนถนนริมแม่น้ำแม่กลอง ไม่แน่ใจว่ามีเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์รึเปล่า เราติดใจกับแผงที่ให้เด็กๆ มานั่งระบายสีมาก มันเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆ มีศิลปะอยู่ในใจ ทำให้พ่อแม่ที่พาลูกๆ มาใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้ผ่อนคลายไปกับการช่วยลูกละเลงสีด้วย : )







โดยรวม, เราว่างาน Art Normal เป็นงานเฉพาะกลุ่ม เพราะขนาดคนในตัวเมืองราชบุรีเองยังไม่รู้เลย แต่ก็ไม่เป็นไร เราเชื่อว่าคนกลุ่มน้อยถ้าตั้งใจจริงก็สามารถทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน

 



ส่วนใครที่ยังไม่ได้ไปเราอยากให้ลองไปดู ส่วนตัวเราก็อยากกลับไปปั่นอีกรอบให้ครบทุกที่ ผู้คนที่นี่น่ารัก ปั่นจักรยานไปที่ไหนต้องมีป้าๆ ลุงๆ ถามไถ่และยิ้มให้เราตลอด มันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและเป็นมิตร ถ้าปั่นในกรุงเทพฯ คงเจอแต่มลพิษเข้ามาทักทาย "ปอดจ๋า โอเคมั้ย?!"



ขอให้สนุกกับการเดินทาง แล้วเจอกันทริปหน้าค่ะ :)





FYI: งาน Art Normal ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 15 เมษาฯ นะคะ


::ผ่านพบมาหลงรัก::


จริงๆ ยังเหลือทริปแม่ฮ่องสอน-ปายอีกหนึ่งตอนด้วยซ้ำ นานนมมากเลยใช่ไหม ต้องใช้เวลารื้อฟื้นความทรงจำสักเล็กน้อย!! แต่วันนี้มาต่อทริปเชียงคาน-อุดรธานีให้จบก่อนดีกว่า : )

เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ การเดินทางไปไหนมาไหนเลยอยู่ที่ปาก โชคดีที่พนักงานในโรงแรมน่ารักและเป็นกันเอง พยายามช่วยเหลือบอกสถานที่เล่นที่กินให้รายละเีอียดดีเหลือเกิน โดยเฉพาะพ่อหนุ่มเบลบอยน่าตากรุ้มกริ่มช่วยบอกเส้นทางได้มาก และที่ๆ เขาแนะนำมาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ




ฉันเลือกที่จะนั่งรถสองแถวรอบเมืองแทนรถสกายแล็ป นอกจากราคาจะถูกกว่าแล้วยังทำให้ฉันเห็นสภาพบรรยากาศในตัวเมืองเต็มๆ นั่งรับลมเย็นไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่เร่ง เหมือนเป็นการนั่งรถรางชมตัวเมืองกรุงเทพฯยังไงยังงั้น หากแต่ดีกว่าตรงที่อากาศเย็นกว่า ผู้คนน้อยกว่า รถราไม่มากเท่า ซึ่งทำให้ไม่ต้องสูดดมเขม่าควันเข้าไปเยอะเหมือนอยู่กรุงเทพฯ




ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฉันก็มายืนอยู่ที่สถานีขนส่งเก่าของที่นี่ ช่วงเย็นๆ อย่างนี้ทั้งผู้คนที่เตรียมเดินทางและผู้คนที่เพิ่งมาถึงเดินกันขวักไขว่กันเต็มไปหมด บรรยากาศโดยรอบก็ไม่ได้ต่างจากสถานีขนส่งอื่นๆ มากนัก ทุกบริษัทรถทัวร์ต่างพยายามหารายได้เข้ากระเป๋ากันอย่างขมักเขม้นเหมือนเดิม! ขากลับกรุงเทพ ฉันเลือกที่จะนั่งรถไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ามันอยู่ใกล้บ้านมากกว่าสถานีขนส่งหมอชิต แต่อยากจะบอกจริงๆ ว่าพนักงานบริการแย่อย่างถึงที่สุด เท่านั้นยังไม่พอ ผู้ร่วมเดินทางด้านหน้าก็ยังมารยาทแย่ไม่แพ้กัน ตอนเด็กๆ เขาอาจไม่เคยร้องเพลง "ความเกรงใจ"

ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี
ตรองดูสิทุกคนก็มีหัวใจ
เกิดเป็นคนถ้าหากไม่เกรงใจใคร
คนนั้นไซร้ไร้คุณธรรมประจำตัว


แต่ถึงแม้จะไม่เคยร้อง ความเกรงใจก็น่าจะอยู่ในจิตสำนึกของทุกๆ คนอยู่ดี :(




หลังจากเสร็จสิ้นการจองตั๋วรถทัวร์ ฉันก็เดินไปถามคุณน้าในร้านสะดวกซื้อว่าถ้าจะไปหนองประจักษ์ต้องนั่งรอสายอะไร แต่คุณน้าแนะนำว่าให้ฉันนั่งรถสกายแล็ปไปจะดีกว่า เพราะมันเย็นแล้ว รถไม่ค่อยวิ่ก็เลยทำตามที่เขาแนะนำ จำไม่ได้แล้วว่ากี่บาท แต่อยู่ราวๆ 40-60 นี่ล่ะ




หนองประจักษ์ เห็นปุ๊บฉันก็หลงรักปั๊บเลย มันเป็นหนองน้ำใหญ่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองอุดร แถวนั้นมีร้านอาหารให้เลือกมากมายหลายแบบ แต่ฉันสังเกตว่าคนอุดรฯรักสุขภาพ เพราะเห็นได้จากมีร้านน้ำผลไม้ปั่น และผลไม้สดเรียงรายเต็มไปหมด มื้อเย็นฉันเลือกที่จะกินจิ้มจุ่มเพราะดูแล้วท่าทางต้องอร่อยมากแน่ๆ และไม่ผิดหวังค่ะ ฉันยังติดใจอยากจะกลับไปจิ้มแล้วจุ่มอยู่เลย อ้อ! รวมถึงเอาเข้าปากด้วยนะ ;P เห็นว่ายังไม่ดึกมาก ก่อนกลับเข้าที่พักเลยได้เดินเล่นรอบๆ หนองประจักษ์ และยังไม่ลืมที่จะเดินไปถามร้านกาแฟเล็กๆ แถวนั้นถึงเวลาเปิด-ปิด เพราะตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นคงจะไม่ไปไหน จะมานั่งๆ นอนๆ เขียนโปสการ์ด ถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศอยู่แถวนี้นี่แหละ 






คืนนั้นจำได้ว่าหลับเป็นตาย มีความสุขอย่างถึงที่สุด เช้าวันรุ่งขึ้นเลยแจ่มใส หน้าตาผุดผ่อง อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฉันเป็นคนที่ชอบสวนสาธารณะ ถ้ามีโอกาสก็มักจะไปนั่งๆ นอนๆ อยู่บ่อยๆ พอได้มาเชยชมสวนสาธารณะในฝันแบบนี้ก็เลยปลื้มเป็นพิเศษ หลายชั่วโมงที่นั่งๆ เดินๆ วนรอบหนองประจักษ์นั้นไม่เบื่อเลย ถ้าแถวบ้านมีสถานที่แบบนี้บ้างก็คงจะดี ฉันคงมาเดินเล่นทุกวัน






มองไปมองมาดวงตาคู่น้อยๆ ก็ไปบรรจบวัดๆ หนึ่ง ชื่อวัดโพธิสมภรณ์ซึ่งสวยสมกับเป็นวัดหลวง พอดีมีรูปท่านเจ้าอาวาสแปะอยู่บนบอร์ดกิจกรรมของทางวัด ท่านเจ้าอาวาสดูใจดีมากเลย ตอนยืนดูรูปก็อดยิ้มไม่ได้ : )






ตลอดระยะเวลาเกือบอาทิตย์จากกรุงเทพ-เชียงคาน-อุดรธานี ฉันมีความสุขมาก แม้จะเหนื่อย จะล้า จะตกใจ หรือเสียใจในบางเหตุการณ์ บางสถานที่มันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แล้วกลับแฝงเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอยู่ภายใต้ความธรรมดานั้น คงจะเหมือนคนเรานี่ล่ะ ที่ภายนอกอาจจะดูไม่น่าสนใจนัก แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกัน ได้ฟังเรื่องราวในตัวของเขา เราจะพบว่าเราได้หลงเสน่ห์เขาจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว






อวสานแล้วค่ะ ;P


ขอบคุณสำหรับทุกๆ คำอวยพรในวันปีใหม่
ขอบคุณสำหรับทุกๆ โปสการ์ดและจดหมายที่ส่งมาให้นะคะ
มันคือของขวัญต้อนรับปีใหม่ที่มีค่ามาก

=)