::Ayutthaya Trip::


พระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าที่มีประวัติยาวนานของประเทศไทย ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกในการไปเยือนจังหวัดนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปด้วยตัวเอง


เมื่อวานท้องฟ้าแจ่มใส ทั้งๆที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก แต่เอาน่า โชคดีแค่ไหนที่ฟ้าฝนเป็นใจสำหรับทริปเล็กๆ ของเด็กตาดำๆ อย่างฉัน หลายวันที่ผ่านมา ฉันมีพระจันทร์เป็นเพื่อนคู่คิด แต่สำหรับวันนี้ฉันมีพระอาทิตย์เป็นเพื่อนยามเดินทาง เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน พระอาทิตย์ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันเสมอ สาดแสงลงมา ไม่นึกถึงจิตใจของเพื่อนตัวน้อยๆ ที่เดินอยู่ข้างล่างเอาซะเล้ย


ไปถึงอยุธยาด้วยรถ ป.1 เวลาประมาณ 11 โมง แดดกำลังดีเชียวล่ะ ลงจากรถ ฉันก็ต่อรถรับจ้างไปวิหารมงคลบพิตรด้วยราคา 30 บาท ที่จริงแล้ว ฉันว่าไอ้ 30 บาทที่จ่ายไปเนี่ย มันแพงอยู่เหมือนกันนะ เพราะหลังจากที่ฉันลงจากรถแล้ว ระยะทางที่ขับมาเนี่ย ขาทั้งสองข้างของฉันสามารถที่จะเดินไปได้ด้วยตัวเอง แต่อย่างว่า ถนนหนทางก็ไม่ค่อยรู้ ครั้งนี้เลยงูๆ ปลาๆ เสียค่ารถไปเยอะเหมือนกัน


ถึงหน้าวิหารพระมงคลบพิธ ความงดงามของวิหารแห่งนี้ไม่ว่ากี่ปีผ่านมาก็ยังสวยงามเช่นเดิม ทุกๆ ครั้งที่มาอยุธยา ฉันกับครอบครัวต้องมาไหว้พระที่วัดนี้





ก่อนเดินเข้าไปข้างใน ฉันได้เจอคุณตาคนนึง กำลังนั่งขายงานฝีมืออะไรซักอย่าง ก่อนจะออกจากที่นี่ ฉันเลยอุดหนุนคุณตาซะหน่อย ฉันกับเพื่อน ซื้อมาคนละตัว ตัวละ 20 บาท คุณตาคนนี้รู้สึกว่าจะตาไม่ดีด้วย เดินก็ไม่ค่อยไหว เฮ้อ ... ลองคิดดูสิ ถ้าแก่ตัวไปฉันต้องมานั่งขายของอะไรอย่างนี้ มันจะเป็นยังไง ทำไมนะ ลูกหลานถึงไม่ดูแล ทั้งๆที่ก็เป็นคุณปู่ คุณตา หรือคุณพ่อของตัวเอง ทำไมถึงทิ้งคนแก่กันอย่างนี้ เด็กต้องการคนดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการคนอบรบสั่งสอน แต่สำหรับคนแก่ พวกท่านขอเพียงคนเอาใจใส่ท่าน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


ออกจากวิหารพระมงคลบพิธ ข้างๆ เป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ ค่าเข้าชม 10 บาทสำหรับคนไทย ข้างในวัด ก็เป็นพวก ตัวโบสถ์ เจดีย์ เก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่จากร่องรอยของการเสียกรุงครั้งที่ 2





ออกจากวัพดระศรีสรรเพชญ์ ก็เดินไปเดินมาแถวๆ นั้นซักพัก เพราะเริ่มงงกับแผนที่ ไม่รู้จะไปทางไหนดี เลยถามคุณป้าหน้าวัดพระรามว่าจะไปเช่าจักรยานได้ที่ไหน คุณป้าใจดี พูดเพราะมาก เพราะตั้งแต่จากกรุงเทพมาถึงอยุธยา ฉันไม่ค่อยสบอารมณ์นักกับคำพูดของผู้คนที่เข้ามาในทริปครั้งนี้ คนไทยที่เป็นคนยิ้มง่าย อ่อนหวาน มีน้ำใจ นับวันมันยิ่งจะจางหายไป ช่างหายากเหลือเกิน


เดินๆ ๆ และเดิน ไปถึงวัดราชบูรณะ ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่าวัดนี้ชื่อวัดอะไร ฉันชอบวัดนี้เหลือเกิน มันสวยมาก สวยจริงๆ ไม่รู้นะ คนอื่นอาจจะคิดว่ามันก็ธรรมดา เหมือนกันวัดอื่นๆ ทั่วไป แต่สำหรับฉัน ฉันประทับใจวัดนี้ที่สุด





เดินไปถึงหน้าวัดราชบูรณะ เหลือจักรยานอยู่ 2 คัน แล้วมันสูงด้วยสิ ไอ้ฉันก็ตัวไม่ได้สูงอะไร เดี๋ยวขี่ๆ ไปเกิดต้องเบรกกระทันหัน เดี๋ยวจะล้มไปซะก่อน เลยปรึกษากันยัยเพื่อนที่หนีบไปด้วยว่า จะขี่ไม่ขี่ ผลออกมาคือไม่เอาดีกว่า เพราะความสูงของเราทั้งคู่ไม่ได้ต่างอะไรกันซักเท่าไหร่ และทักษะในการขี่จักรยานในถนนใหญ่ก็มีไม่มากด้วยกันทั้งคู่ เราเลยตัดสินใจ ข้ามถนนเพื่อไปยังถนนนเรศวร และจะต่อรถไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล


วัดใหญ่ชัยมงคล ห่างออกไปจากตัวอุทยานประวัติศาสตร์พอสมควร พอดีมีรถรับจ้างขับคล้ายๆรถตุ๊กตุ๊ก ผ่านมา แล้วเค้าคิด 50 บาทซึ่งมันถูกกว่าคันที่ผ่านๆ มาฉันเลยตัดสินใจขึ้นคันนี้นี่แหละ เพราะลุงคนขับแกดูเทคแคร์ดี ระหว่างทางลุงก็แนะนำนู้น แนะนำนี่ เอาแผนที่(ดีๆ)มาให้ดู มีรูปวัดต่างๆ คือลุงแกเป็นมืออาชีพ ขับรถส่งฝรั่งเป็นประจำ


ทีแรกฉันคิดแค่ว่าให้ลุงไปส่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลก็พอ แล้วฉันจะเดินไปวัดพนัญเชิง ซึ่งห่างจากวัดใหญ่ชัยมงคลไปเพียง 1 กิโล (ถึงแม้ 1 กิโลที่ว่าจะไกลสำหรับเพื่อนๆ แต่นักเดินตัวยงอย่างฉัน มันจิ๊บจ๊อยมาก) แต่ลุงแกแนะนำวัดดีๆ ในตัวเมืองที่ฉันเพิ่งออกมา และลุงแกบอกว่ารถแถวนี้แพง ไอ้เราก็มือใหม่ ก็เชื่อลุง เลยเหมาให้ลุงขับไปส่งที่วัดภูเขาทอง


เอ้า กลับมาที่วัดใหญ่ชัยมงคลก่อน ในวัดใหญ่ชัยมงคลนี้ เป็นวัดที่ยัยเพื่อนคนนี้ของฉันอยากมามาก ในวัดมีพระขาวนอนองค์ใหญ่ สวยงามเชียวล่ะ เดินเข้าไปข้างในยังมีเจดีย์ที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ภายในเจดีย์มีค้างคาวหลายตัวมาก เหมือนเป็นที่หลับนอนของมันอย่างไงอย่างงั้น ขอบอกค่ะ ในนั้นเหม็นมาก แล้วระหว่างทางขึ้นโบสถ์เนี่ย บันไดค่อนข้างชัน เพื่อนสาวที่หนีบไปของฉันถึงกับเข่าอ่อน ตอนลงเจ๊แกลงแบบหมดความงามไปเลยล่ะ แต่ฉันว่า มันก็ไม่ได้ชันอะไรมากขนาดนั้นซะหน่อยเลยนะ !






 


ออกมาจากวัดใหญ่ชัยมงคล มุ่งหน้าไปวัดภูเขาทอง วันนี้ห่างจากตัวอุทยานไกลกว่าวัดใหญ่ชัยมงคลอีก ตอนแรก ไอ้ฉันก็กะว่า มาวัดนี้แล้วจะเดินไปที่วัดหน้าพระเมรุเอง เพราะดูจากแผนที่แล้ว มันไม่ไกลอะไรมากนัก ฉันและเพื่อน เดินกันได้สบายๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ระยะทางที่ฉันคาดเดาไว้ไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด ถ้าปั่นจักรยานน่ะพอไหว แต่ท่าจะให้เดินเนี่ย คงไม่ต้องทำอะไรกิน ไปถึงวัดหน้าพระเมรุก็ได้เวลากลับบ้านพอดี





วัดภูเขาทอง สง่า สวยงามถึงแม้จะน้อยกว่าในรูปก็ตาม วัดนี้เป็นวัดเงียบๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ อาจจะเพราะมันอยู่ไกลออกมาจากตัวอุทยาน ต้องเหมารถมา หรือไม่ก็ปั่นจักรยานมากัน บันไดที่นี้สูงและชันมาก ยัยเพื่อนสาวฉันเซย์กู๊ดบาย ตั้งแต่เห็นทีแรกแล้ว จะให้ฉันขึ้นไปคนเดียวก็คงไม่เอา เพราะบันไดไม่ใช่น้อยๆ กว่าจะขึ้น กว่าจะลงก็หมดเวลาเที่ยวที่อื่นพอดี ฉันเลยแค่เดินรอบๆ เท่านั้น



 


ออกจากวัดภูเขาทอง ตรงไปยังวัดไชยวัฒนาราม วัดนี้เป็นจุดสิ้นสุดที่ฉันจะเหมารถของลุง ให้ตายยังไง ฉันก็จะไม่เหมาต่อ เพราะค่ารถของลุงได้ทำร้ายจิตใจสองสาวอย่างฉันกับเพื่อนเหลือเกิน อันที่จริงราคาที่ลุงตั้งไว้มันก็ไม่แพงอะไรหรอกนะ แต่ฉันต้องการเซฟงบ อะไรที่พอจะเดินได้ก็อยากจะเดินมากกว่า ฉันคิดว่า การที่เราไปเที่ยวแต่เอาสบายจนเกินไป มันอาจขาดรสชาติของการเที่ยวในแบบของฉันไปอย่างนึง


วัดไชยวัฒนาราม หลายคนบอกที่นี่สวย สำหรับฉัน วัดนี้ยังไม่โดนใจเท่ากับวัดราชบูรณะ แต่มีอยู่มุมนึงที่ฉันเห็นแล้ว ฉันชอบมาก แต่เสียดายรูปที่ถ่ายมามีสาวญี่ปุ่นติดมาด้วย แต่ฉันก็คิดซะว่า มันได้อารมณ์ของรูปอีกแบบนึง วัดนี้ติดแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเจ้าพระยาวันนี้น้ำเยอะมาก อาจจะเพราะวันที่ผ่านๆ มาฝนตก






 


ออกจากวัดไชยวราราม ฉันและเพื่อนเดินออกมาถึงสี่แยกใหญ่ ฉันไม่รู้ว่ามันเรียกว่าสี่แยกอะไร แต่กว่าจะเดินออกมาถึงสี่แยกนี้ หนทางก็ไกลพอสมควร พอดีตรงสีแยกมีเซเว่น เลยแวะเข้าไปหาน้ำหาท่าดื่มแก้ร้อนไปก่อน และก็โชคดีอีกที่มีรถสองแถวผ่านมาพอดี ฉันกับเพื่อนรีบกระโจนขึ้นรถทันที ค่ารถสองแถวที่นี่ถูกเหลือเกิน ถ้าฉันจ้างลุงต่อคงต้องจ่ายกันคนละหลายสิบ แต่นี่ฉันจ่ายแค่ 7 บาทเท่านั้น คุ้มจริงๆ


นั่งรถสองแถวมาลงที่วัดราชบูรณะวัดที่ฉันชอบที่สุดในอยุธยา ที่ลงที่นี้เพราะฉันกับเพื่อนตั้งแต่มายังไม่ได้ถ่ายรูปคู่เลย เลยเดินหาเหยื่อแถวๆ นั้นๆ ข้ามถนนไปวัดมหาธาตุ มีทัวร์ญี่ปุ่นกำลังเยี่ยมชมวัดอยู่ ฉันเลยเดินเข้าไปในวัดมหาธาตุเพื่อหาเหยื่อถ่ายรูปและวิวสวยๆ เหมือนเดิมค่ะ ค่าเข้าชม 10 บาท






  


ในที่สุดฉันก็เจอเหยื่อ สาวญี่ปุ่นใจดีถ่ายรูปให้เรา ต้องขอบคุณมาก ถึงแม้รูปอาจจะออกมาไม่สวยอย่างที่เราต้องการ แต่อย่างน้อย ฉันและเพื่อนก็ได้ถ่ายรูปคู่ เป็นการยืนยันว่า เรามากันสองคนนะ
เดินจากวัดมหาธาตุไปยังวินรถตู้กลับกรุงเทพ ระยะทางก็ไกลพอสมควร แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว บอกแล้วไงล่ะคะ ว่าฉันน่ะนักเดินตัวยงค่ารถตู้กลับบ้านอีกคนละ 60 บาท แพงกว่าขามาเพียง 5 บาท รถไปจอดที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถือว่าเร็วนะคะ
ก่อนกลับบ้านแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่อนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วก็ขึ้นบีทีเอส เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภา
 



สำหรับทริปนี้ อาจจะเป็นทริปสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน ไปครั้งนี้ปลดปล่อยอะไรทุกข์ๆไปหลายอย่าง อาจจะเหนื่อยบ้าง หลงบ้าง กลับมาตัวดำขึ้นบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกดีที่ได้ไป


ต้องขอบคุณฟ้าฝนที่เป็นใจ ขอบคุณพระอาทิตย์เพื่อนยามเดินทางของฉัน ขอบคุณยัยเพื่อนสาวที่ฉันหนีบไปด้วย และสุดท้าย ขอบคุณวันพฤหัสบดีที่ทำให้ฉันมีทริป ที่สนุกๆ อย่างนี้อีกครั้ง

::แง่ดี-แง่ร้าย::


เมื่อวานฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าคนนึงค่ะ ไม่บ่อยนักที่เพื่อนเก่าของฉันคนนี้จะโทรมาปรับทุกข์กับฉัน เพราะไม่บ่อยนักอีกเช่นกัน ที่เพื่อนเก่าของฉันคนนี้จะมีเรื่องทุกข์เข้ามาในชีวิต เพราะเค้าคนนี้เป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ บ้างสิ่งที่ช่างโหดร้าย แต่เค้าก็ยังมองว่ามันสวยงาม


แต่ในวันนี้ เพื่อนเก่าของฉันคนนี้โดนคำว่าการมองโลกในแง่ดีทำร้ายอย่างร้ายกาจ มันเลยทำให้ฉันคิดว่า การที่เรามองโลกในแง่ดีเสมอไป ก็ใช่ว่ามันจะดีเสมอไปเช่นกัน


หลายครั้งหลายหน ที่คนมองโลกในแง่ดีถูกทำร้ายจากสิ่งมีชีวิตรอบข้าง แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไร และยังคิดที่จะมองโลกในแง่ดีต่อไป ถึงแม้ผู้คนเหล่านี้จะหายากในโลกยุคปัจจุบัน แต่ก็มีมากอยู่เช่นกัน


หลายครั้งหลายหน ที่คนมองโลกในแง่ร้ายถูกตำหนิติเตียนในการมองโลกและการใช้ชีวิตของเค้า แต่การมองโลกในแง่ร้ายก็เหมือนกับการมีเกาะกำบังอย่างหนึ่ง ทำให้คนเราไม่ไว้ใจใครมากเกินไป ทำให้คนเราไม่เจ็บมากเมื่อโดนใครรังแก เพราะคนเหล่านี้มักจะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับสถาณการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ดี


แต่มันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดถ้าคุณอยู่ระหว่างคำว่ามองโลกในแง่ดีและมองโลกในแง่ร้าย มันจะเป็นส่วนผสมที่เหมาะสมถ้าคุณนำทั้งสองสิ่งอย่างละครึ่งมาผสมรวมกัน ถึงแม้มันจะยากอยู่ซักหน่อยที่จะทำได้อย่างนี้ แต่ฉันก็เชื่อว่าคนเราสามารถปรับเปลี่ยนกันได้ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่มันก็จะคุ้มค่าถ้าคุณทำได้นะคะ


สำหรับฉัน ตอนนี้ฉันก็พยายามปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างในตัวฉัน ให้ดูลงตัวมากขึ้นค่ะ

::Moonlight in the Darkness::


ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบแสงของพระจันทร์ยามค่ำคืน แสงของมันไม่สาดแสงแรงอย่างแสงของพระอาทิตย์ แสงของพระจันทร์ที่มอบให้ เป็นแสงที่กำลังพอดี น่ามอง น่าชวนฝัน ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าปกคลุมด้วยความมืดมิด มันสะท้อนถึงความเงียบเหงา วังเวง และอ้างว้าง แต่ก็มีแสงของพระจันทร์ที่ช่วยทำให้ความเหงายามค่ำคืนลดน้อยลง


พระจันทร์เป็นแสงส่งทางเมื่อคนเราอยู่ในความมืด หันซ้าย หันขวาเจอแต่ความว่างเปล่า แต่เมื่อเรามองไปบนฟากฟ้า เราจะเจอพี่สาวคนสวยอย่างพระจันทร์ ที่มอง อย่างไรก็สวยไม่สร่างเป็นเพื่อนยามเหงาเสมอ


แสงของพระจันทร์ทำให้ฉันคิดอะไรต่างๆได้มากมาย ฉันเลือกพระจันทร์เป็นเพื่อนคู่คิด และสำหรับพระอาทิตย์เป็นเพื่อนยามเดินทาง ทำไมถึงเลือกพระจันทร์เป็นเพื่อนคู่คิดน่ะเหรอ ก็เพราะว่า พระจันทร์ดูสงบ เหมือนเป็นผู้ฟังที่ดี อ่อนโยนและดูจริงใจ เห็นไหมล่ะ พระจันทร์เหมาะที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดได้ดีแค่ไหน สำหรับเพื่อนยามเดินทางของฉัน เขาออกจะลุยๆ กล้าหาญ แข็งแรง สามารถคุ้มครองฉันได้ เขาไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่หรอกนะถ้าฉันจะไปปรับทุกข์กันเขา


ฉันก็ไม่รู้ว่าพระจันทร์จะเหนื่อยมากเพียงใดที่ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่เป็นเพื่อนยามค่ำคืนของพวกเรา ไม่รู้ว่าพระจันทร์จะเหงาบ้างรึเปล่าที่ต้องอยู่ในความมืดทุกๆ คืน บางวันฉันเป็นเขาเหนื่อยไปหลบอยู่หลังก้อนเมฆเป็นเวลานานแสนนาน แต่แสงของพระจันทร์ก็ยังสาด ส่องลงมาเป็นเพื่อนของคนเหงาๆ ในยามค่ำคืนอย่างฉันเสมอ


ฉันชอบความเหงา ชอบแสงของพระจันทร์ ฉันชอบเวลาแบบนี้ มันทำให้ฉันได้นั่งคิดไตร่ตรองในหลายๆสิ่ง ทั้งสิ่งที่ฉันเคยทำลงไปในอดีต สิ่งที่ฉันกำลังทำในปัจจุบัน และสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำในอนาคต ขอบคุณความเหงาที่สร้างแรงบันดาลใจ และขอบคุณพระจันทร์ที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด ขอบคุณ

::ความฝัน::


ความฝันกับความจริงมันไม่ได้อยู่ห่างกันซักเท่าไหร่เลยนะคะ เราสามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่นในความฝันนั้น เชื่อมั่นในตัวเองและกล้าที่จะเผชิญกับความจริง


บางคนบอกว่าอย่าฝันให้มันเกินตัวนัก ฉันว่าไม่จริงหรอกค่ะ เราสามารถฝันได้ จะฝันสูงแค่ไหน ไม่เคยมีคำว่าเกินตัว เราสามารถไปถึงยังฝั่งฝันนั้นได้ถ้าเราศรัทธาและมีความพยายามเพียงพอ ฝันของบางคนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเกินเอื้อมของคนๆ นั้น แต่ในทางกลับกัน ฝันที่เกินเอื้อมของใครบางคน ก็เป็นฝันที่ใกล้เอื้อมของอีกคนเช่นกัน ต้องพยายามค่ะ กล้าๆ หน่อย แล้วฝันที่เค้าว่ากันว่าเกินเอื้อม มันจะกลายมาเป็นความฝันที่ใกล้เอื้อมเอง


สำหรับฉัน ความฝันที่เค้าว่ากันว่ามันเกินเอื้อมก็มีมากมาย แต่ฉันไม่เคยท้อถอยกับฝันที่ฉันศรัทธา มันอยู่ไกลนะคะ ฝันเนี่ยน่ะ แต่ฉันไม่เคยคิดว่ามันเกินเอื้อมเลย ค่อยๆเดินไป พักบ้างเมื่อเหนื่อย เติมพลังกับสิ่งรอบข้างแล้วก็ใส่รองเท้าเดินต่อไป มันอาจจะช้านะคะ แต่มันก็มั่นคง การก้าวย่างในแต่ละครั้งมีความหมายค่ะ


ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่รู้ว่าฝันนี้ของฉันจะเป็นความจริงเมื่อไหร่ แต่ความศัรทธาในความฝันตั้งแต่ตอนแรกที่ปลูกฝันจนถึงบัดนี้ที่ฝันของฉันเติบโตขึ้นมาทีละเล็ก ทีละน้อยก็ไม่เคยมีน้อยลงไป ระหว่างทางเดินอาจจะเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย จงศรัทธาในสิ่งที่เราหวัง และพยายามทำในสิ่งที่เราทำให้ดีที่สุด ฉันเชื่อว่าความฝันของทุกๆคน จะกลายเป็นความจริงที่สัมผัสได้อย่างแน่นอนค่ะ

::ค้นหาตัวเอง::


สับสน ว้าวุ่น ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมนะฉันถึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ชอบอะไร ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ บางทีรู้สึกว่า นี่แหละตัวฉัน ใช่เลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ใช่ มันเป็นอย่างนี้มาหลายครั้งหลายครา


ฉันเป็นคนที่ทำอะไรไม่เคยถึงร้อย ทำถึงเก้าสิบเก้า ก็ล่วงมาอยู่ที่สูง วิ่งจนจะถึงเส้นชัยแล้ว แต่ก็เป็นลมไปซะก่อน มันไม่ถึงซะทีไอ้จุดหมายที่วางไว้เนี่ย ฉันเกลียดความอ่อนแอในตัวฉันจริงๆ


ภายนอกฉันอาจจะดูเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น เป็นคนๆ หนึ่งที่ห้าวๆ ลุยๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงด้านเดียวที่ทุกคนเห็น มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เห็นฉันในอีกด้าน ด้านที่ฉันพยายามปกปิดมันมาโดยตลอด

ฉันอยากปรับปรุง อยากแก้ไขความอ่อนแอที่ฉันมี ถึงแม้เท้าฉันเหมือนจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่ใจของฉันกลับเต้นอ่อนลงๆ ทุกๆ วัน ซักวันนึง มันคงจะหยุดเต้นไปในที่สุด ถ้ายังอ่อนแออยู่อย่างนี้


ฉันกำลังจะลาออกจากมหาลัยเพื่อไปเรียนที่มหาลัยแห่งใหม่ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงอยากออกจากสถาบันแห่งนี้ซะเหลือเกิน ไม่ใช่มันไม่ดีนะแต่มันเป็นความรู้สึกที่ฉันก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เช่นกัน


ฉันยังไม่รู้เลยว่าสถาบันแห่งใหม่ที่จะไปเข้าเนี่ยมันจะทำให้ฉันรู้สึกดีหรือแย่ไปกว่านี้ ถึงแม้จะผ่านมาเพียง 4 เดือน แต่เป็น 4 เดือนที่มีค่า ได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ความผูกพันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ แต่เป็นความผูกพันที่มั่นคง


วันนี้ฉันเพิ่งบอกเพื่อนที่ฉันรู้สึกดีมากที่สุดในสถาบันแห่งนี้ว่าฉันจะลาออก ฉันไม่กล้าบอกเค้า ฉันไม่อยากให้เค้าเสียใจ จะว่าไปแล้ว ฉันและเค้าก็ไม่ได้สนิทกันอะไรนักหนาในช่วงหลังๆ แต่อย่างที่บอกไว้ มันเป็นความผูกพันที่มั่นคง เราสองคนมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนๆ กัน ฉันไว้ใจและเคารพเพื่อนคนนี้มาก ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม

::Finally, We Can Meet You Guys Again::


หลายวันที่ผ่านมาไม่ได้เขียนไดอารี่ออนไลน์เลยกลับไปนั่งเขียนใส่สมุดไดอารี่เหมือนก่อน รู้สึกดีนะคแต่มันก็เหมือนเราขาดอะไรไปบางอย่าง ขาดกำลังใจดีๆ ผ่านคอมเมนต์ ไม่สามารถไปให้กำลังใจที่ไดของคนอื่นได้ 

อืม.. มันเหมือนชีวิตขาดสีสันน่ะ 


หลังจากที่เคว้งอยู่หลายวัน ตอนนี้หาบ้านหลังใหม่เจอแล้วคือที่นี่ ถึงแม้จะชื่อใหม่แต่อะไรหลายๆ ยังเหมือนเก่า จะว่าบ้านใหม่ก็ไม่ใช่ที่ แค่เราย้ายบ้านมาแต่สมาชิกภายในครอบครัวยังเหมือนเดิม ยังเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนเดิม ถึงแม้บางคนยังย้ายสัมภาระมาไม่หมด บางคนหลงทางหาทางมาบ้านหลังนี้ไม่เจอ แต่ไม่นานพวกเค้าก็คงจะตามมา คิดถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกๆ คนมากๆ 


เมื่อก่อนเปิดเน็ตเพื่อที่จะมาอัพไดแต่พอช่วงที่ผ่านมา ไม่มีไดฯให้อัพ ก็เหงามากๆ เปิดมาไม่รู้จะทำอะไร เปิดไม่นานก็ปิด ตอนนี้หาทางมาบ้านใหม่เจอแล้ว ดีใจมากๆ 


สุดท้ายของวันนี้ ขอขอบคุณงามๆ สำหรับพี่เกม พี่สาวใจดี ที่ทำให้ฉันได้เปิดประตูเข้าบ้านหลังใหม่แห่งนี้อีกครั้ง ตอนนี้ก็คงเป็นเวลาตามหาเพื่อนบ้านเก่าๆ ให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง