::พูดลอยลอย::





วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้ายันค่ำ บรรยากาศมันชวนให้รู้สึกอยากพูดลอยลอยถึงใครบางคน : )


::The Northern Laos Series - ถึงวังเวียงแล้วจ้า::




11 โมงตรงคนเต็มคันรถ พี่คนขับเหยียบคันเร่งเร่งเครื่อง 2-3 ครั้งแล้วก็พารถเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังสถานี เราไม่เห็นกับตาแต่เดาว่าเขาพารถมาเติมน้ำมันที่นี่ 11 โมงเศษก็ถึงเวลาล้อหมุนของจริง คนส่วนใหญ่บนรถเป็นชาวลาว ส่วนน้อยก็คือเรากับเพื่อนแล้วก็พี่ผู้ชายที่เพื่อนได้คอนเฟิร์มว่าเป็นคนไทย รวมแล้วก็น้อยมากจริงๆ 3 คนเท่านั้นค่ะ


ใช้เวลานานพอสมควรเลยกว่าจะผ่านเขตชานเมืองของเวียงเทียน เรานั่งรับลมไปสักพักก็หลับปุ๋ย มาตื่นอีกทีตอนที่เริ่มมีภูเขาสวยๆ ให้เห็นนอกหน้าต่างบ้างแล้ว รถจอดให้ผู้โดยสารลงไปปลดทุกข์ตลอดทาง ประมาณใครปวดก็ส่งเสียงบอกได้เพราะห้องน้ำมีให้เข้าตลอดทาง ก็ตามพุ่มไม้ตามสองข้างทางนั่นแหละค่ะ ระหว่างทางก็ไม่พลาดที่รถจะเสีย น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับล้อหลังด้านซ้าย แต่เครื่องไม้เครื่องมือพี่เขาพร้อม ไม่นานก็ไปต่อได้สบาย พอขับไปถึงครึ่งทางก็แวะจอดที่จุดพักรถค่ะ แม่ค้าขายไก่รีบวิ่งตาลีตาเหลือกมาชูไก่ย่างต่อลองราคากันอย่างสนุกสนาน นอกจากไก่ย่างแล้วก็มีพวกผลไม้ น้ำ และเบียร์ลาวด้วย ส่วนเราก็นั่งดูมหกรรมไก่ลอยไปลอยมาบนอากาศอย่างเพลิดเพลิน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บมาฝาก


วังเวียงเป็นเมืองขนาดเล็กในหุบเขาที่อยู่ห่างจากเวียงจันทน์ 156 กิโลเมตร รถประจำทางปรับอากาศ(ธรรมชาติ)จอดส่งเราใกล้ๆ กับสนามบินเก่าของวังเวียงตอนบ่าย 2 โมงครึ่งพอดิบพอดี จากที่ทำการบ้านก่อนมาบวกกับเล็งพิกัดจากแผนที่ในมือ เราเข้าใจว่าตัวเมืองวังเวียงไม่ได้ห่างจากที่ๆ เรายืนอยู่เลย เราจึงบอกปัดรถจัมโบ้ที่จอดรอรับส่งผู้โดยสาร ทีแรกก็ถามราคาอยู่แต่ต่อรองแล้วไม่ได้ราคาที่พอใจเราจึงเลือกที่จะเดินเข้าเมืองแทน ในที่สุดก็ไม่เสียเปล่าที่ทำการบ้านมาเพราะตัวเมืองวังเวียงอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถเลย

 
ในวันนั้นเมืองวังเวียงช่วงบ่ายเงียบมาก เรามีที่พักอยู่ในมือ 2-3 ที่ เราเดินไปหาหนึ่งในเป้าหมายของเราและได้คำตอบกลับมาว่าห้องพักเต็มแล้วและพี่สาวคนนั้นแนะนำให้เราเดินเข้าไปโซนในเมือง ที่นั่นราคาถูกและน่าจะมีห้องพักเหลืออยู่อีกมาก แต่เราไม่อยากพักในเมืองเพราะรู้ว่ามันเต็มไปด้วยร้านอาหารกึ่งผับและนักท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่แถวนั้นมากเกินไป เราเลือกเดินไปสุดถนนเส้นหลักเพื่อไปหาอีกหนึ่งเป้าหมายของเราคือ Jammee Guest House เราสนใจที่นี่เพราะหลายๆ รีวิวใน tripadvisor ให้คำจัดความที่พักแห่งนี้ว่าน่ารักและอบอุ่น ที่สำคัญอยู่ใกล้กับถ้ำจังที่เราตั้งใจจะเดินไปสำรวจในวันรุ่งขึ้น


เราพบกับฝรั่งคนหนึ่งกำลังยืนอธิบายเส้นทางท่องเที่ยวให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชายเอเชียกลุ่มหนึ่งอยู่ ทั้งชื่อ การกระทำ และบุคลิกทำให้เราจะเข้าใจไปเองว่าเขาคือเจ้าของที่พักแห่งนี้ เราต่อลองราคากันเล็กน้อยด้วยภาษาอังกฤษ เราได้พักห้องแอร์ห้องใหญ่พร้อมบริการอาหารเช้าในราคา 150,000 กีบซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสักนิดหากเทียบกับคุณภาพและไมตรีที่ได้รับ เราสอบถามถึงที่ลงเรือล่องแม่น้ำซองและจองรอไปหลวงพระบางในคืนวันรุ่งขึ้น ฝรั่งที่เราติ๊ต่างเอาเองว่าเป็นเจ้าของที่พักหยิบแผนที่เล็กๆ แล้วก็อธิบายที่เที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจและตบท้ายว่าเรื่องรถเขาจะบอก"สม"ให้ เขาเป็นคนที่นี่จะติดต่อได้ดีกว่า เราเลยกำชับเขาว่าถ้าได้เรื่องยังไงช่วยบอกด้วยเพราะรู้มาว่ารถรอบกลางคืนไม่ค่อยมีนักเดินทางต่างถิ่นเดินทางกันบ่อยนัก


เก็บข้าวของยังไม่ทันเสร็จฝนก็เทกระหน่ำลงมา แผนที่ตั้งใจว่าจะเดินเข้าเมืองไปหาอะไรทานก็ต้องพับไว้ชั่วคราว เราหยิบโทรศัพท์มาเล่นเพื่อที่จะฆ่าเวลาแต่ wifi ก็ดันมีปัญหา เราจึงออกจากห้องตั้งใจจะไปถามเรื่อง wifi แต่รอบนี้เราไม่ได้เจอแค่ฝรั่งคนเดียวแล้วแต่มีชายชาวลาวยืนอยู่ด้วย ฝรั่งสูงอายุแนะนำให้เรารู้จักว่านี่คือ"สม" คนที่เขาพูดถึงเมื่อสักครู่ ทีแรกเราคุยกับ"สม"เป็นภาษาอังกฤษ คุยไปคุยมาเขาถามเราว่าเราเป็นคนไทยใช่ไหมด้วยภาษาลาวปนไทย เราบอกว่าใช่และหลังจากนั้นเราก็พูดไทยใส่กันอย่างได้อรรถรส พี่สมแนะนำเรื่องลงเรือชมแม่น้ำซอง รวมถึงเที่ยวรถว่าเขาต้องโทรไปเช็คที่เวียงจันทน์ก่อนว่าที่เต็มรึยังเพราะเป็นรถที่ออกจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง ส่วนรถที่ออกจากวังเวียงจะเป็นรอบเช้ากับเที่ยงเท่านั้น คุยไปคุยมาจนฝนซาเราจึงได้เดินเข้าเมืองอย่างที่ตั้งใจไว้

::The Northern Laos Series - ชีวิตบนยานพาหนะ::



หลังจากนั่งคลำเส้นทาง ที่กิน ที่พักมาหลายวัน ค่ำคืนวันออกเดินทางก็มาถึง เรานั่งรถไฟขบวน 69 ตามตารางเวลารถไฟจะออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงตอน 2 ทุ่มตรงและจะถึงสถานีรถไฟหนองคายตอน 7.45 ก่อนขึ้นรถไฟเราทำใจไว้แล้วกับ hard sell ขายอาหารและเครื่องดื่มของพี่ๆ บนรถไฟ แต่แปลกที่วันนี้ไม่มาป้วนเปี้ยนแถวเราเลย อาจจะเพราะมีพี่น้องชาวม้งเป็นเหยื่ออันโอชะไปแล้วก็เป็นได้






เราเลือกที่จะนอนชั้นบนเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของพี่น้องชาวม้งร่วมขบวน เราจับใจความจากที่พวกเขาคุยกันได้ว่าพวกเขาเพิ่งบินตรงมาจากอเมริกาเพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด รุ่นพ่อรุ่นแม่ยังพูดภาษาถิ่นและภาษาไทยได้ แต่รุ่นลูกๆ นั้นพูดภาษาอังกฤษกันหมดแล้ว ครั้งนี้เรานอนหลับค่อนข้างสนิท ไม่เหมือนทริปที่นั่งรถไฟไปเชียงใหม่คนเดียวเมื่อปีที่แล้วที่พ่อหนุ่มฝรั่งวัยโจ๋เตียงข้างบนทำกิจกรรมช่วยตัวเองกลางดึก ซาวด์ก็ดัง เตียงก็สั่น จำได้ว่านอนหลอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน


รถไฟไทยไม่เคยตรงต่อเวลา ดังนั้นการที่เรามาถึงหนองคายช้ากว่าเวลาที่กำหนดเพียงชั่วโมงเดียวเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากแล้ว แบกเป้ขึ้นบ่าแล้วเดินปรี่ไปซื้อตั๋วรถไฟขบวน 913 ที่จะพาเราไปสถานีรถไฟท่านาแล้ง ประเทศลาว อย่างที่บอกไว้เมื่อครั้งที่แล้วค่ะว่ารถไฟระหว่างประเทศขบวนนี้จะไม่ออกจากชานชาลาจนกว่ารถไฟขบวน 69 จากหัวลำโพงจะมาถึง ดังนั้นๆ ทำใจให้สบายและซึมซับบรรยากาศสองข้างทางได้ตามอัธยาศัยค่ะ




รถไฟสีม่วงคันเล็กน่ารักซึ่งซื้อต่อมาจากประเทศญี่ปุ่นค่อยๆ พาเราข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไม่นานเท้าทั้งสองข้างก็ได้แตะแผนดินลาวค่ะ เพื่อนร่วมขบวนส่วนใหญ่ก็ตามคาดคือเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ยังได้เจอพี่สาวชาวไทยที่มากับแฟนชาวต่างชาติกับลูกน้อย กับอีกหนึ่งหนุ่มไทยที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่นัก ด่านท่านาแล้งนักท่องเที่ยวน้อยจริงค่ะ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและพี่ๆ คนขับรถรับจ้างก็น้องด้วย


ขั้นตอนการเข้าเมืองก็แค่กรอก immigration form จ่ายเงิน 50 บาท เป็นอันเสร็จพิธีสำหรับนักเดินทางที่ใช้แค่ passport ผ่านแดนค่ะ ส่วนชาวต่างชาติที่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศลาวด้วยก็จะรอนานนิดนึง




อย่างที่บอกไปว่าทุกอย่างที่ด่านท่านาแล้งน้อยไปหมด ผ่านด่านได้เร็วจริงแต่ก็เสียค่ารถเข้าเมืองแพงจริงเหมือนกัน เราตกลงกับพี่สาวชาวไทยกับหนุ่มใหญ่พูดจาไม่เข้าหูคนนั้นว่าจะเหมารถเข้าเมืองไปด้วยกัน แต่พอได้คุยต่อรองกับคนขับรถแล้วเขาไม่ลดให้เราเลยค่ะ แถมยังต้องไปเสียเวลาไปส่งพี่สาวที่โรงแรมในเมืองแล้วก็ส่งหนุ่มใหญ่ที่ตลาดเช้าอีกด้วย พอดีมีพี่คนขับรถอีกคนมาให้ราคาแบบฆ่ากันเห็นๆ ทำอย่างไรได้ล่ะคะ เบี้ยน้อยหอยน้อยก็ต้องใช้สอยประหยัดหน่อยล่ะค่ะ แต่ขนาดว่าประหยัดแล้วก็ยังโดนไป 200 บาทเพราะเราให้พี่เขาไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือที่อยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองไปมากเหมือนกัน


45 นาทีผ่านไป รถกะบะที่แปลงสภาพเป็นรถรับจ้างสองแถวพาเรามาถึงสถานีขนส่งสายเหนือ เหตุผลที่เลือกไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งสายเหนือแทนสถานีขนส่งตรงตลาดเช้าเพราะรู้มาว่ารถจากตลาดเช้าที่ไปวังเวียงส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้ซึ่งเป็นยานพาหนะที่หากเราเลี่ยงได้ก็พยายามจะเลี่ยง ถึงแม้รถตู้จะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ารถทัวร์ก็จริงแต่ก็อย่าลืมว่ามีบ่อยครั้งที่รถตู้พาผู้โดยสารไปไม่ถึงจุดหมาย




โชคชะตาเป็นใจเมื่อเรามาทันรถไปวังเวียงรอบ 11 โมงพอดี สภาพรถภายนอกดูดีเลยทีเดียวนะคะ คล้ายๆ รถป.1 บ้านเราเลยค่ะ แค่่ไม่เปิดแอร์เฉยๆ เรียกว่ารถปรับอากาศธรรมชาติ สนนราคาค่าเดินทางคนละ 60,000 กีบ ส่วนถ้าใครต้องการแลกเงินก็สามารถแลกเงินได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วได้เลย เราก็แลกที่นี่ค่ะเพราะที่ด่านท่านาแล้งไม่มีที่ให้แลกเงิน เอาจริงๆ ก็คือมันไม่มีอะไรเลยค่ะ!


เรทแลกเปลี่ยน ณ วันเดินทาง 1 บาท = 250 กีบ




ส่วนนี่คือปี้(ตั๋ว)รถจากเวียนเทียนไปวังเวียงค่ะ คือว่า แบบว่า ลายมือคุณพี่ขายตั๋วดูหมอมากค่ะ คือแบบว่า คือว่า อ่านไม่รู้เรื่องเลยว่าขึ้นจากไหนแล้วจะไปลงไหน รู้แต่ว่ารถออก 11 โมงนะจ๊ะ ระวังตกรถ!!!

::The Perfect Day::




เป็นหนึ่งวันที่วุ่นวายแต่มีความสุขมาก เราตื่นแต่เช้าตรู่ไปตรวจสุขภาพเพื่อทำวีซ่าที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการและเราก็ประทับใจการบริการของที่นี่มาก


การตรวจสุขภาพเพื่อทำวีซ่าก็ไม่มีอะไรมาก เขาจะให้เราช่างน้ำหนักวัดส่วนสูง วัดสายตาคร่าวๆ ตรวจปัสสาวะ เอ็กซ์เรย์ปอด และพบคุณหมอเหมือนเราตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป สำหรับค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,220 บาท ถ้ามาวันธรรมดาน่าจะเร็วกว่านี้เพราะมีคุณหมออยู่กันเยอะ เราไปวันเสาร์คุณหมอที่ตึกอินเตอร์มาไม่กี่ท่านก็เลยต้องรอนานหน่อย ใช้เวลาที่โรงพยาบาลประมาณเกือบสามชั่วโมงได้


เสร็จจากตรวจร่ายกายเราก็ไปเดินจับจ่ายที่สวนจตุจักรกับพรต่อ ตั้งใจจะไปซื้อเสื้อผ้าเอาไปใส่ที่เมลเบิร์น แต่คงเพราะอากาศร้อนก็เลยได้แต่เสื้อบางๆ เบาๆ มาเพียบ จะซื้อรองเท้าบู้ทก็ยังไม่เจอที่โดนใจใช่เลย แต่ถ้าระหว่างนี้ยังไม่เจอที่ถูกใจจริงๆ ก็จะกลับไปเอาคู่ที่เกือบจะปิ๊งที่สวนจตุจักรนั่นแหละ สนนราคาคู่ละ 3,200 บาท รองเท้าบู้ทราคานี้ก็รับได้อยู่ นอกจากเสื้อผ้าก็ได้รองเท้ามาหนึ่งคู่และแว่นหนึ่งอัน ขอจดไว้หน่อยว่าพี่เจ้าของร้านแว่นหน้าตาดีมากที่สุด เห็นหน้าแล้วต้องรีบเลี้ยวเข้าร้านอะไรประมาณนี้เลย!!


ห้าโมงครึ่งมีนัดกับเพื่อนๆ rejoice ถ้าไม่นับโก้ครั้งล่าสุดที่เราเจอเพื่อนกลุ่มนี้คือเมื่อสองปีที่แล้วในงานรับปริญญาพี่วี่ ทุกคนเหมือนเดิม เอ็นดูเราเหมือนเดิม เรารู้ว่าบางคนพยายามชวนเราคุยเพราะกลัวว่าเราจะรู้สึกอึดอัดซึ่งก็ต้องขอบคุณมากๆ การมาพบเจอเพื่อนครั้งนี้ทำให้เราได้รับข่าวดีว่าออยกับพี่ไทด์จะแต่งงานปีหน้าซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะกลับมาร่วมงาน น่าจะเป็นงานแต่งงานในรอบหลายปีที่เรายินดีและอยากไป


ดูสิ, ต่างคนก็มีหนทางเดินเป็นของตัวเอง หลายๆ คนมีความก้าวหน้าในชีวิตการงาน ส่วนเราเองก็มีหนทางที่เลือกเดินแล้วเหมือนกัน อาจจะต่างจากคนอื่นหน่อย อาจจะไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนใครเขา แต่เราก็ภูมิใจในการทัศนารอบโลกในแบบของเรา

::The Northern Laos Series - สนุกอย่างที่คิดแม้ไม่พร้อมอย่างที่เคย::




การเดินทางครั้งนี้ถูกวางไว้ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งนั่นทำให้กว่าจะได้เดินทางก็ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย เราต้องเปลี่ยนวันเดินทางให้เร็วขึ้นเพราะต้องกลับมาให้ทันพิธีพระราชทาน เพลิงศพของก๋ง ซึ่งนั่นทำให้การวางแผนหลายๆ อย่างฉุกละหุกขึ้นมาเล็กน้อย กอปรกับก่อนหน้าที่จะเดินทางไปลาวในครั้งนี้เรามีอีกหนึ่งการเดินทางครั้ง ใหญ่ที่เราต้องวางแผนให้รอบคอบ


จากการเปลี่ยนวันเดินทาง เราจึงเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟสายหัวลำโพง-หนองคายแทนการขึ้นเครื่องบินไป ลงที่อุดรธานี อย่างที่รู้ๆ กันว่าการเดินทางด้วยรถไฟไทยนั่นเสี่ยงต่ออุปสรรคด้านเวลาแต่สำหรับเราการ เดินทางอันแสนยาวนานด้วยรถไฟมันกระตุ้นและกระตุกต่อมเดินทางของเรามากกว่า การเดินทางด้วยยานพาหนะอื่นใด


เราวางแผนไว้คร่าวๆ และหวังว่าหากครั้งนี้รถไฟจะทำตัวเป็นเด็กดี ไม่เกเรหมดแรงกลางทาง เราจะไปถึงหนองคายไม่ช้าไปกว่าสิบโมง แล้วเราจะรีบขึ้นรถไฟระหว่างประเทศหนองคาย-ท่านาแล้งเพื่อต่อรถไปสถานีขนส่ง สายเหนือซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์พอสมควร


เรามีข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟระหว่างประเทศสายนี้มาแบ่งปันค่ะ นั่นคือคุณไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจไปว่าคุณจะตกรถไฟ เพราะแท้ที่จริงแล้วรถไฟสายนี้จะไม่ออกจากชานชาลาจนกว่ารถไฟขบวนที่ 69 หัวลำโพง-หนองคายจะมาถึงแน่นอน ส่วนเราก็นั่งๆ นอนๆ หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ เก้อมาตลอดทางด้วยความไม่รู้ข้อเท็จจริงข้อนี้


กลับมาที่แผนการเดินทางคร่าวๆ กันต่อเลยดีกว่า พอถึงสถานีท่านาแล้งและผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราจะหาเพื่อนร่วมทางซึ่งคาดการณ์ว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวต่างชาติแชร์ค่ารถ ไปสถานีขนส่งสายเหนือ ซึ่งตามแผนและประสบการณ์ที่มีเราคิดว่ามันไม่น่ายากเลย แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดการณ์ไว้และราคามันแพงมหาโหดเลยล่ะ


เราเลือกที่จะซึมซับบรรยากาศแม่น้ำซองที่วังเวียงก่อนหนึ่งคืนก่อนเดินทาง ต่อไปหลวงพระบางในคืนถัดไป เรามักเลือกเดินทางกลางคืนเพราะมันเป็นการประหยัดค่าที่พักและเราก็จะได้ เวลาเดินเที่ยวในที่ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในช่วงกลางวัน ซึ่งข้อเสียคงจะเป็นเราจะไม่เห็นทิวทัศน์สองข้างที่สวยงามนั่นเอง


เราไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะทำกิจกรรมอะไรในวังเวียงเป็นพิเศษ แค่อยากเดินดูเมือง อาจจะขี่จักรยานชมเมือง หรือนั่งเรือชมแม่น้ำซอง ดูฝรั่งเล่น tubing เมาแอ๋กันไป ที่เดียวที่ตั้งใจไปในวังเวียงครั้งนี้คือถ้ำจัง ส่วนที่พักก็ดูไว้คร่าวๆ 2-3 ที่ค่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะเดินดู ถูกใจที่ไหนก็พักที่นั่นเพราะมันละลานตาเหลือเกิน


พูดถึงที่พักแล้วก็มาต่อที่พักในหลวงพระบางกันบ้าง ที่พักในหลวงพระบางก็มีให้เลือกมากมายไม่แพ้วังเวียง มีหลายระดับให้เลือกอยู่ สำหรับหลวงพระบางเรามีในใจที่เดียวค่ะนั่นคือเฮือนพักอุดมสุข ส่วนแผนเที่ยวในหลวงพระบางนั้นก่อนไปเราจดไว้เยอะมาก มีหลายที่ที่อยากไปแต่พอเอาเข้าจริงๆ เก็บไม่ทัน เวลาหมด ความขี้เกียจมาเยือน และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ในขณะเดียวกันเราก็มีโอกาสได้ไปในที่ๆ ไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่เตรียมมา


แต่เหนือสิ่งอื่นใดการเดินทางครั้งนี้เราต้องกลับไปซ่อม ไม่อย่างนั้นเราคงนอนตายตาไม่หลับแน่นอน


::Congratulations!!!::


Dear Miss Silpiphat,
Congratulations on becoming a student of Swinburne University of Technology in Melbourne, Australia.


After doing step by step for months, I'm now an official student of Swinburne university where is well-known for multimedia and IT based in Melbourne, Australia. Even though Swinburne wasn't the first choice, but the right choice in the end. And I was very grad when I got an acceptance confirmation email last Friday.


Back to the beginning of this year, I've worked hard to practice English and spent times to find university where has the major I'm interested. Denver University was the first choice in my mind because my beloved cousin, Tao has been living in Denver and also there is the film and journalism major I wanted to study. It must be awesome to live and do many activities with her like we did in Bangkok before she has left. However, dream is just a dream, I couldn't make it come true. I was too lazy and not ready to fight for it. Taking TOEFL and GRE wasn't easy at all. I needed time to prepare and practice it so hard which I didn't have enough time to do so. I changed my mind, changed the major I wanted to study, changed the country I wanted to pursue my dream, and of course, the university had to be changed also.


Australia was the second choice and it's become the right one for me. Melbourne is one of the cities I always want to go. Besides, it is the only city outside Thailand I've been always wanted to live. And finally it's going to happen! University of Melbourne was the first and the only one I wanted to study in Melbourne, nonetheless it's not suitable for me after I thought over and over again. My friend, Gift recommended me Swinburne University. In that time, she's just moved from Perth to Melbourne and had been studying English course in Swinburne. She said it's not the best but good enough for us. Actually, I have to say that the campus is very nice location. It's located in Hawthorn, where is far from the downtown about 6 kilometers. It's kind of calm suburb with the comfortable transportation. Everything sounds perfect, doesn't it?


Right now, I wish, wish, and wish that my student visa will be okay LOL

::ฝนปีที่ยี่สิบหกยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง::


ฤดูฝนพัดผ่านมาอีกครั้ง มันเป็นฝนปีที่ยี่สิบหกของเรา ปีนี้ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากหัวใจยังคงมุ่งมั่นในรอยย่ำที่เลือกเดิน


สำหรับเราการเดินทางเป็นยาเสพติดที่ร้ายกาจและรุนแรงอย่างหนึ่ง หากเริ่มแล้วก็ยากที่จะหยุด เมื่อได้นั่งคิดทบทวนอีกทีเราออกเดินทางด้วยตัวเองติดต่อกันทุกปีมากว่า 7 ปีแล้ว เหมือนเป็นเวลานานแต่ในความรู้สึกกลับเหมือนเพียงลมพัดผ่านเพียงวูบเดียว


เราสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลา 7 ปีของการเดินทาง แรกเริ่มเราก็แค่เดินทาง เราหมายถึงเดินทางจริงๆ ไม่ได้จดหรือบันทึกอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เข้าปีที่สองที่สามเราเริ่มจดบันทึกเรื่องราวระหว่างทางเป็นตัวหนังสือ ผ่านไปอีกปีเราก็เริ่มจริงจังกับการถ่ายภาพบันทึกการเดินทางมากขึ้น และณ ปัจจุบันปีที่เจ็ดเรายังคงถ่ายภาพบันทึกการเดินทางและเริ่มเรียนรู้การถ่ายวีดีโอบันทึกรอยย่ำของสองเท้าในที่ต่างๆ ควบคู่กันไป

::ฝนตกลงกลางใจ::


คิดถึงเสียงฝนร่วงพรำกระทบหลังคา
คิดถึงกลิ่นดินดอกหญ้าหลังลมพัดฝนจางหาย
คิดถึงรุ้งบางพาดผ่านฟากฟ้ากว้างไกล
คิดถึงละอองไอหยาดฝนบนกลีบบัว


ในห้วงคะนึงของฤดูกาลฝนแล้ง

::ยี่สิบหก มกรา, หนึ่งวันดีดีดีดีดี::




วันนี้ตื่นเช้า ออกไปเดินเล่นที่สวนรถไฟ
การตื่นเช้าคือหนึ่งเรื่องดี


ระหว่างทางมีคนเป็นลมบนรถไฟ คนข้างๆ ช่วยกันพาน้องเขามานั่ง
การช่วยเหลือกันคือหนึ่งเรื่องดี


เดินเล่นคนเดียวเรื่อยๆ สักพักโก้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน
การพบพูดคุยกับโก้คือหนึ่งเรื่องดี


เดินคุยไปถ่ายรูปไป คุณพ่อ คุณแม่ ลูกสาว ลูกชาย พี่ ป้า น้า อา ต่างพากันมาเที่ยวสวน
การได้เห็นหลากหลายครอบครัวแบ่งปันเวลาให้กันและกันคือหนึ่งเรื่องดี


ทั้งหมดทั้งมวลมาจากความอยากถ่ายรูปขั้นสูงสุด
และการได้กดชัตเตอร์คืออีกหนึ่งเรื่องดี


ขอบคุณทุกเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เห็นและได้ไตร่ตรอง

::หนึ่ง มกรา ห้าหก::


นักเดินทาง
แบกเป้เร่ร้างสู่หนไหน?
ร้อยดงพันดอยด้นไป
เหนื่อยไหม? หัวใจคนจร

นักเดินทาง
ฤา? พระจันทร์สาปสร้างร่างหลอน
ร้างเรือนไร้รักแรมรอน
เหนื่อยนักพักนอนเพียงคืน

ดื่มดาวดิ่งดำทะเลสาบ
ดื่มแดดแผดอาบตราบตื่น
ดื่มลมห่มโหมโครมครืน
ดื่มกลืนดื่มกินวิญญาณ์

นักเดินทาง
แบกคำถามเร่ร้างไปข้างหน้า
รอใครสักคนดั้นด้นมา
แลกคำตอบตามประสานักเดินทาง

- บินทีละหลา, บินหลา สันกาลาคีรี

2555 คือปีแห่งการเดินทางของเรา แต่สิ่งที่หลงลืมร่วงหล่นระหว่างทางคือการจดบันทึก


2556 ก็ไม่ต่างอะไรจากปีที่แล้วมากนัก มีหลากหลายเส้นทางรอเราอยู่ในวันข้างหน้า แต่เราจะไม่หลงลืมการจดบันทึกการเดินทางอีกแล้ว และนี่จะทำให้ปีนี้แตกต่างและสมบูรณ์กว่าปีที่ผ่านมา


ด้วยรักและตระหนักในตัวตน