::The Northern Laos Series - ถึงวังเวียงแล้วจ้า::




11 โมงตรงคนเต็มคันรถ พี่คนขับเหยียบคันเร่งเร่งเครื่อง 2-3 ครั้งแล้วก็พารถเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังสถานี เราไม่เห็นกับตาแต่เดาว่าเขาพารถมาเติมน้ำมันที่นี่ 11 โมงเศษก็ถึงเวลาล้อหมุนของจริง คนส่วนใหญ่บนรถเป็นชาวลาว ส่วนน้อยก็คือเรากับเพื่อนแล้วก็พี่ผู้ชายที่เพื่อนได้คอนเฟิร์มว่าเป็นคนไทย รวมแล้วก็น้อยมากจริงๆ 3 คนเท่านั้นค่ะ


ใช้เวลานานพอสมควรเลยกว่าจะผ่านเขตชานเมืองของเวียงเทียน เรานั่งรับลมไปสักพักก็หลับปุ๋ย มาตื่นอีกทีตอนที่เริ่มมีภูเขาสวยๆ ให้เห็นนอกหน้าต่างบ้างแล้ว รถจอดให้ผู้โดยสารลงไปปลดทุกข์ตลอดทาง ประมาณใครปวดก็ส่งเสียงบอกได้เพราะห้องน้ำมีให้เข้าตลอดทาง ก็ตามพุ่มไม้ตามสองข้างทางนั่นแหละค่ะ ระหว่างทางก็ไม่พลาดที่รถจะเสีย น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับล้อหลังด้านซ้าย แต่เครื่องไม้เครื่องมือพี่เขาพร้อม ไม่นานก็ไปต่อได้สบาย พอขับไปถึงครึ่งทางก็แวะจอดที่จุดพักรถค่ะ แม่ค้าขายไก่รีบวิ่งตาลีตาเหลือกมาชูไก่ย่างต่อลองราคากันอย่างสนุกสนาน นอกจากไก่ย่างแล้วก็มีพวกผลไม้ น้ำ และเบียร์ลาวด้วย ส่วนเราก็นั่งดูมหกรรมไก่ลอยไปลอยมาบนอากาศอย่างเพลิดเพลิน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บมาฝาก


วังเวียงเป็นเมืองขนาดเล็กในหุบเขาที่อยู่ห่างจากเวียงจันทน์ 156 กิโลเมตร รถประจำทางปรับอากาศ(ธรรมชาติ)จอดส่งเราใกล้ๆ กับสนามบินเก่าของวังเวียงตอนบ่าย 2 โมงครึ่งพอดิบพอดี จากที่ทำการบ้านก่อนมาบวกกับเล็งพิกัดจากแผนที่ในมือ เราเข้าใจว่าตัวเมืองวังเวียงไม่ได้ห่างจากที่ๆ เรายืนอยู่เลย เราจึงบอกปัดรถจัมโบ้ที่จอดรอรับส่งผู้โดยสาร ทีแรกก็ถามราคาอยู่แต่ต่อรองแล้วไม่ได้ราคาที่พอใจเราจึงเลือกที่จะเดินเข้าเมืองแทน ในที่สุดก็ไม่เสียเปล่าที่ทำการบ้านมาเพราะตัวเมืองวังเวียงอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถเลย

 
ในวันนั้นเมืองวังเวียงช่วงบ่ายเงียบมาก เรามีที่พักอยู่ในมือ 2-3 ที่ เราเดินไปหาหนึ่งในเป้าหมายของเราและได้คำตอบกลับมาว่าห้องพักเต็มแล้วและพี่สาวคนนั้นแนะนำให้เราเดินเข้าไปโซนในเมือง ที่นั่นราคาถูกและน่าจะมีห้องพักเหลืออยู่อีกมาก แต่เราไม่อยากพักในเมืองเพราะรู้ว่ามันเต็มไปด้วยร้านอาหารกึ่งผับและนักท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่แถวนั้นมากเกินไป เราเลือกเดินไปสุดถนนเส้นหลักเพื่อไปหาอีกหนึ่งเป้าหมายของเราคือ Jammee Guest House เราสนใจที่นี่เพราะหลายๆ รีวิวใน tripadvisor ให้คำจัดความที่พักแห่งนี้ว่าน่ารักและอบอุ่น ที่สำคัญอยู่ใกล้กับถ้ำจังที่เราตั้งใจจะเดินไปสำรวจในวันรุ่งขึ้น


เราพบกับฝรั่งคนหนึ่งกำลังยืนอธิบายเส้นทางท่องเที่ยวให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชายเอเชียกลุ่มหนึ่งอยู่ ทั้งชื่อ การกระทำ และบุคลิกทำให้เราจะเข้าใจไปเองว่าเขาคือเจ้าของที่พักแห่งนี้ เราต่อลองราคากันเล็กน้อยด้วยภาษาอังกฤษ เราได้พักห้องแอร์ห้องใหญ่พร้อมบริการอาหารเช้าในราคา 150,000 กีบซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสักนิดหากเทียบกับคุณภาพและไมตรีที่ได้รับ เราสอบถามถึงที่ลงเรือล่องแม่น้ำซองและจองรอไปหลวงพระบางในคืนวันรุ่งขึ้น ฝรั่งที่เราติ๊ต่างเอาเองว่าเป็นเจ้าของที่พักหยิบแผนที่เล็กๆ แล้วก็อธิบายที่เที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจและตบท้ายว่าเรื่องรถเขาจะบอก"สม"ให้ เขาเป็นคนที่นี่จะติดต่อได้ดีกว่า เราเลยกำชับเขาว่าถ้าได้เรื่องยังไงช่วยบอกด้วยเพราะรู้มาว่ารถรอบกลางคืนไม่ค่อยมีนักเดินทางต่างถิ่นเดินทางกันบ่อยนัก


เก็บข้าวของยังไม่ทันเสร็จฝนก็เทกระหน่ำลงมา แผนที่ตั้งใจว่าจะเดินเข้าเมืองไปหาอะไรทานก็ต้องพับไว้ชั่วคราว เราหยิบโทรศัพท์มาเล่นเพื่อที่จะฆ่าเวลาแต่ wifi ก็ดันมีปัญหา เราจึงออกจากห้องตั้งใจจะไปถามเรื่อง wifi แต่รอบนี้เราไม่ได้เจอแค่ฝรั่งคนเดียวแล้วแต่มีชายชาวลาวยืนอยู่ด้วย ฝรั่งสูงอายุแนะนำให้เรารู้จักว่านี่คือ"สม" คนที่เขาพูดถึงเมื่อสักครู่ ทีแรกเราคุยกับ"สม"เป็นภาษาอังกฤษ คุยไปคุยมาเขาถามเราว่าเราเป็นคนไทยใช่ไหมด้วยภาษาลาวปนไทย เราบอกว่าใช่และหลังจากนั้นเราก็พูดไทยใส่กันอย่างได้อรรถรส พี่สมแนะนำเรื่องลงเรือชมแม่น้ำซอง รวมถึงเที่ยวรถว่าเขาต้องโทรไปเช็คที่เวียงจันทน์ก่อนว่าที่เต็มรึยังเพราะเป็นรถที่ออกจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง ส่วนรถที่ออกจากวังเวียงจะเป็นรอบเช้ากับเที่ยงเท่านั้น คุยไปคุยมาจนฝนซาเราจึงได้เดินเข้าเมืองอย่างที่ตั้งใจไว้

::The Northern Laos Series - ชีวิตบนยานพาหนะ::



หลังจากนั่งคลำเส้นทาง ที่กิน ที่พักมาหลายวัน ค่ำคืนวันออกเดินทางก็มาถึง เรานั่งรถไฟขบวน 69 ตามตารางเวลารถไฟจะออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงตอน 2 ทุ่มตรงและจะถึงสถานีรถไฟหนองคายตอน 7.45 ก่อนขึ้นรถไฟเราทำใจไว้แล้วกับ hard sell ขายอาหารและเครื่องดื่มของพี่ๆ บนรถไฟ แต่แปลกที่วันนี้ไม่มาป้วนเปี้ยนแถวเราเลย อาจจะเพราะมีพี่น้องชาวม้งเป็นเหยื่ออันโอชะไปแล้วก็เป็นได้






เราเลือกที่จะนอนชั้นบนเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของพี่น้องชาวม้งร่วมขบวน เราจับใจความจากที่พวกเขาคุยกันได้ว่าพวกเขาเพิ่งบินตรงมาจากอเมริกาเพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด รุ่นพ่อรุ่นแม่ยังพูดภาษาถิ่นและภาษาไทยได้ แต่รุ่นลูกๆ นั้นพูดภาษาอังกฤษกันหมดแล้ว ครั้งนี้เรานอนหลับค่อนข้างสนิท ไม่เหมือนทริปที่นั่งรถไฟไปเชียงใหม่คนเดียวเมื่อปีที่แล้วที่พ่อหนุ่มฝรั่งวัยโจ๋เตียงข้างบนทำกิจกรรมช่วยตัวเองกลางดึก ซาวด์ก็ดัง เตียงก็สั่น จำได้ว่านอนหลอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน


รถไฟไทยไม่เคยตรงต่อเวลา ดังนั้นการที่เรามาถึงหนองคายช้ากว่าเวลาที่กำหนดเพียงชั่วโมงเดียวเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากแล้ว แบกเป้ขึ้นบ่าแล้วเดินปรี่ไปซื้อตั๋วรถไฟขบวน 913 ที่จะพาเราไปสถานีรถไฟท่านาแล้ง ประเทศลาว อย่างที่บอกไว้เมื่อครั้งที่แล้วค่ะว่ารถไฟระหว่างประเทศขบวนนี้จะไม่ออกจากชานชาลาจนกว่ารถไฟขบวน 69 จากหัวลำโพงจะมาถึง ดังนั้นๆ ทำใจให้สบายและซึมซับบรรยากาศสองข้างทางได้ตามอัธยาศัยค่ะ




รถไฟสีม่วงคันเล็กน่ารักซึ่งซื้อต่อมาจากประเทศญี่ปุ่นค่อยๆ พาเราข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไม่นานเท้าทั้งสองข้างก็ได้แตะแผนดินลาวค่ะ เพื่อนร่วมขบวนส่วนใหญ่ก็ตามคาดคือเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ยังได้เจอพี่สาวชาวไทยที่มากับแฟนชาวต่างชาติกับลูกน้อย กับอีกหนึ่งหนุ่มไทยที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่นัก ด่านท่านาแล้งนักท่องเที่ยวน้อยจริงค่ะ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและพี่ๆ คนขับรถรับจ้างก็น้องด้วย


ขั้นตอนการเข้าเมืองก็แค่กรอก immigration form จ่ายเงิน 50 บาท เป็นอันเสร็จพิธีสำหรับนักเดินทางที่ใช้แค่ passport ผ่านแดนค่ะ ส่วนชาวต่างชาติที่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศลาวด้วยก็จะรอนานนิดนึง




อย่างที่บอกไปว่าทุกอย่างที่ด่านท่านาแล้งน้อยไปหมด ผ่านด่านได้เร็วจริงแต่ก็เสียค่ารถเข้าเมืองแพงจริงเหมือนกัน เราตกลงกับพี่สาวชาวไทยกับหนุ่มใหญ่พูดจาไม่เข้าหูคนนั้นว่าจะเหมารถเข้าเมืองไปด้วยกัน แต่พอได้คุยต่อรองกับคนขับรถแล้วเขาไม่ลดให้เราเลยค่ะ แถมยังต้องไปเสียเวลาไปส่งพี่สาวที่โรงแรมในเมืองแล้วก็ส่งหนุ่มใหญ่ที่ตลาดเช้าอีกด้วย พอดีมีพี่คนขับรถอีกคนมาให้ราคาแบบฆ่ากันเห็นๆ ทำอย่างไรได้ล่ะคะ เบี้ยน้อยหอยน้อยก็ต้องใช้สอยประหยัดหน่อยล่ะค่ะ แต่ขนาดว่าประหยัดแล้วก็ยังโดนไป 200 บาทเพราะเราให้พี่เขาไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือที่อยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองไปมากเหมือนกัน


45 นาทีผ่านไป รถกะบะที่แปลงสภาพเป็นรถรับจ้างสองแถวพาเรามาถึงสถานีขนส่งสายเหนือ เหตุผลที่เลือกไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งสายเหนือแทนสถานีขนส่งตรงตลาดเช้าเพราะรู้มาว่ารถจากตลาดเช้าที่ไปวังเวียงส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้ซึ่งเป็นยานพาหนะที่หากเราเลี่ยงได้ก็พยายามจะเลี่ยง ถึงแม้รถตู้จะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ารถทัวร์ก็จริงแต่ก็อย่าลืมว่ามีบ่อยครั้งที่รถตู้พาผู้โดยสารไปไม่ถึงจุดหมาย




โชคชะตาเป็นใจเมื่อเรามาทันรถไปวังเวียงรอบ 11 โมงพอดี สภาพรถภายนอกดูดีเลยทีเดียวนะคะ คล้ายๆ รถป.1 บ้านเราเลยค่ะ แค่่ไม่เปิดแอร์เฉยๆ เรียกว่ารถปรับอากาศธรรมชาติ สนนราคาค่าเดินทางคนละ 60,000 กีบ ส่วนถ้าใครต้องการแลกเงินก็สามารถแลกเงินได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วได้เลย เราก็แลกที่นี่ค่ะเพราะที่ด่านท่านาแล้งไม่มีที่ให้แลกเงิน เอาจริงๆ ก็คือมันไม่มีอะไรเลยค่ะ!


เรทแลกเปลี่ยน ณ วันเดินทาง 1 บาท = 250 กีบ




ส่วนนี่คือปี้(ตั๋ว)รถจากเวียนเทียนไปวังเวียงค่ะ คือว่า แบบว่า ลายมือคุณพี่ขายตั๋วดูหมอมากค่ะ คือแบบว่า คือว่า อ่านไม่รู้เรื่องเลยว่าขึ้นจากไหนแล้วจะไปลงไหน รู้แต่ว่ารถออก 11 โมงนะจ๊ะ ระวังตกรถ!!!