::2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง::


วันๆ นึงช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของคนทั่วโลกก็จะเดินทางมาถึง ปี 2549 กำลังเตรียมตัวโบกมืออำลา ปี 2550 กำลังก้าวเข้ามาทำหน้าแทน
เด็กๆ มักจะมีความสุขกับเทศกาลต่างๆ แต่สำหรับคนบั้นปลายชีวิตเทศกาลหนึ่งผ่านมาเปรียบเสมือนว่าเวลาที่จะมีชีวิต อยู่กับลูกหลานก็ลดน้อยลงไปอีกปี
.....


เมื่อวานสอบวันสุดท้าย แต่จิตใจไม่ได้อยู่ที่ข้อสอบ มันลอยล่องไปถึงคิวพักผ่อนหลังสอบเสร็จเสียแล้ว
อาหารมื้อกลางวัน
หนังรัก The Holidays
ท่าพระจันทร์ วังหลัง
ชาเย็น Black Canyon
McDonald มื้อค่ำ
Christmas Tree at Central world
Internet ยามดึก
และ NiceSis


.....


ลองมานั่ง ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไปในปีนี้ดู มันก็ถือว่าเป็นปีที่ใช้ได้เลยทีเดียว อาจจะเพราะมีบทเรียนมาแล้วจากปีก่อน ที่ถือว่าเป็นปีที่ตกอับ คอตก ทุกข์ทรมาน พอมาปีนี้อะไรหลายๆ อย่างมันลงตัวขึ้น สามารถปรับตัวเองได้มากขึ้น ปีนี้ ..

สุขจนกลัวว่าเราจะไม่รู้สึกมีความสุขอะไรอย่างนี้อีกแล้วในวันถัดไป

เศร้าเสียใจ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว และเรื่องความรู้สึกที่สับสนในตัวเอง

ภูมิใจและท้อแท้อะไรหลายๆ สิ่งที่ตัวเองทำได้และทำไม่ได้

ผิดหวัง สมหวัง มีกำลังใจ หมดกำลังใจ

แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ผ่านมาได้ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ยังไงซะมันก็ทำให้เห็นว่าทุกปัญหามันก็มีทางออกของมันเสมอ

2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง :)


::ทะเลธันวา::


เผลอแป๊บเดียวจะสิ้นปี แล้ว วันเวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ เร็วจนบางทีมันน่ากลัว กลัวว่าเราจะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ไม่ทันเวลา เส้นทางเดินของคนเรามันยาวไกลนัก แต่พรุ่งนี้อาจมีบางสิ่งทำให้คนเราหยุดเดินก็ได้ ทำให้คนเราหมดลมหายใจ ใครจะไปรู้ .. จริงมั้ย?
ทุกวันนี้เลยพยายามจัด เวลาให้ดี ไม่ทำตัวปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนตอนนี้หวงเวลา ไม่อยากให้มันผ่านไปโดยไร้ค่า แต่ใครจะไปห้ามมันได้ ที่จริงแล้วเวลามันไม่ได้เดินเร็ว มันก็เดินติ๊กตอกๆ ของมันไปเรื่อย มีเพียงตัวเราที่ไม่มีจังหวะในการเดิน ไม่สามารถเดินติ๊กตอกๆ อย่างมันได้ เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว
.....
หลายวันก่อนไปนั่งพักกาย ผ่อนใจที่ทะเล ถึงแม้หาดทรายจะไม่ขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลจะไม่สวยสีฟ้าใสอย่างทะเลทางภาคใต้ หรือตามเกาะต่างๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีไม่ใช่น้อย แอกที่แบกอยู่บนบ่าเหมือนหายไปชั่วคราว


ครั้งนี้ไปทันพระอาทิตย์ตก และตื่นทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี อ้อ! ลืมบอกไปว่าหาดที่ว่าคือ หาดเจ้าหลาว - จันทบุรี ไม่ใช่หาดที่มีชื่อเสียงอะไร แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของมัน ถึงแม้บรรยากาศไม่ได้เลิศหรูอย่างทะเลดังๆ ที่อื่นๆ แต่ที่นี่ความเงียบสงบถือว่าไม่เป็นรองใคร
ตอนกลางคืนเดินรับลมก่อน นอน ได้ยินกลุ่มข้างๆเค้าคุยกันว่าวันนี้ลมทะเลไม่เหนียวตัวเลย ซึ่งมันก็ จริง ไม่เหนียวตัวจริงๆ (นี่ถ้าไม่ได้ยินเค้าพูดกัน ฉันก็จะไม่รู้สึกว่ามันไม่เหนียวตัวนะเนี่ย .. ความรู้สึกตายด้าน!!)




อากาศช่วงเช้าที่นี่ถือได้ว่าเย็นพอรู้สึกได้ แต่พอช่วงกลางวันก็ไม่ต่างกับกรุงเทพมากนัก แต่น่าจะร้อนน้อยกว่า
ตอนเช้าในขณะที่กำลังรอ คอยแสงตะวัน พบกับเด็กผู้หญิงคนนึงเดินแบกห่วงยางสีดำอันใหญ่สำหรับให้คนเช่าเดินไปเดิน มา ทีแรกเดาว่าน่าจะราวๆ 10 ขวบ เพราะดูลักษณะยังเด็กอยู่ เลยเดินเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าน้องเค้าอายุ 13 อยู่ ม.1 แล้วถามน้องเค้าอีกว่าแล้วพ่อแม่ล่ะ(เพราะเห็นแบกอยู่คนเดียว) น้องเค้าบอก "ตายหมดแล้ว" ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร เพราะแค่ได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกช็อคแล้ว ตอนนี้น้องเค้าอยู่กับป้า



หลายๆ ครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อย มีแต่ปัญหาเข้ามาเสมอๆ แต่ลองมองไปไกลๆ มองคนที่แย่กว่าเรา ไอ้ปัญหาที่เรามีอยู่มันช่างจิ๊บจ๊อยจริงๆ
.....
แม่เคยบอกว่า "รู้สึกสูงค่าให้มองขึ้นฟ้าเพราะยังมีคนที่ดีกว่าเรา แต่ถ้ารู้สึกต่ำต้อยก็ให้มองลงดิน อย่างน้อยๆ ก็มีคนที่แย่กว่าเรา" หลายๆ ครั้งที่แม่บอกอะไรมาล้วนแต่ใช้ได้จริง 
"ความรู้รู้เท่าที่เรียน ปฏิภาณความเพียรไม่เรียนก็รู้" เป็นคติที่พ่อใช้สอนฉันเสมอ คตินี้พ่อได้มาจากแม่ซึ่งตาเป็นคนสอนแม่ตอนตายังมีชีวิตอยู่
แม้คนเราไม่มีตัวตนแล้ว แต่สิ่งๆ หนึ่งยังคงอยู่ ถ้าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อคนในยุคต่อมา ...
.....

ปล. วันก่อนที่จะออกเดินทางได้รับโปสการ์ด3ใบรวด จากคนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนอีกส่วนหนึ่งของตัวฉัน ขอบคุณมากนะ


::The Radio : ผี::



วานก่อนตอนเช้าก่อนไปเรียน เปิดวิทยุฟังเพลงไป แต่งตัวไปตามปกติ บังเอิญเปิดไปตอนดีเจเล่าเรื่องผีอยู่พอดี
ผีที่ว่าไม่ใช่ผีตานี ผีกองกอย ผีจีน ผีฝรั่ง ผีไทย หรือผีชาติไหนก็ตาม สรุปคือไม่ใช่ผีที่เป็นมนุษย์นั่นเอง
แล้วผีที่ว่าเป็นผีอะไร่ล่ะ ???
.....
ไอ้ผีที่ว่าคือผีสัตว์ที่เรากินมันเป็นอาหาร อาทิ
ผีไก่ย่าง
ผีปลาทอด
ผีกุ้งเผา
ผีปลาหมึกย่าง
ผีวัว
ผีหมู
และอีกนับนานาผีสัตว์ที่เราได้เขมือบลงกระเพาะไป
.....
เรื่องมันมีอยู่ว่าดีเจ คนนี้เป็นคนกลัวผีมาก แล้ววันหนึ่งเค้าได้ฟังข้อคิดจากเพื่อนสนิทของเค้าซึ่งเป็นนักเขียนคนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เคยได้รางวัลซีไรต์ และเสียชีวิตแล้ว) เพื่อนของเค้าชอบเดินป่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลัวผีแต่ก็มีหวั่นๆ บ้างเวลาเดินป่าคนเดียว นอนป่าคนเดียว
หลังจากนั้นเพื่อนของ เค้าก็คิดได้ว่าเราจะกลัวไปทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ผีพวกนั้นเสียหน่อย ถ้าจะกลัวจริงๆ ทำไมเราไม่กลัวผีสัตว์ที่เรากินเป็นอาหารอยู่ทุกวัน เพราะสัตว์เหล่านี้ก็มีชีวิตเหมือนกัน เรากินมันเข้าไป มันน่าจะแค้นเรามากกว่า
จากที่จะกลัวโดนผีซึ่ง เป็นคนมาบีบคอ หรือมาหลอก เราน่าจะกลัวผีไก่ย่างที่ออกจากปากแล้วมาจิ๊กเรามากกว่าเวลาเราหลับแล้วลืม หุบปาก เราน่าจะกลัวผีปลาหมึกย่างที่เราเพิ่งกินไปเอาหนวดมารัดคอเรามากกว่า ทำไมเราไม่กลัวผีกุ้งเผาที่มาร้องห่มร้องไห้ว่า "กินชั้นไปทำไมๆ" นับ 10 ตัว แล้วไหนจะผีปลาทอดที่ตั้งแต่เกิดมากินไปแล้วไม่รู้กี่ตัว ผีหมูอู๊ดๆ ผีปูกล้ามโต ผีวัว(ถ้าใครกิน)ตัวไม่ใช่เล็กๆอีก
นึกดูแล้วถ้ากลัวจริงๆ ผีสัตว์น่ากลัวกว่าผีคน!!!
เห็นว่าเป็นข้อคิดที่ดี เลยนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ตอนฟังนี่ขำกลิ้ง "ผีไก่ย่างออกมาจากปาก" คิดได้ไง!!!
.....
ตอนกำลังตากผ้าหันไปเห็นผีเสื้อหลายตัวบินไปบินมาอยู่ตรงพุ่มไม้หน้าบ้านพอดี เลยเก็บรูปมาฝากค่ะ