Showing posts with label note to self. Show all posts
Showing posts with label note to self. Show all posts
Keep Calm And Enjoy The Last Day Of Semester
It's unbelievable this is the first post in 2015, UNBELIEVABLE!!! It seems like I've been super busy these past 5 months. I'm here, though.
This year goes crazy, like a lot crazy, particularly at school. I had a variety of assignments to challenge. If think positive, it's good thing, isn't it? Many new experiences came to my life and I fought to death in order to pass those shits. It's worth fighting, and consequently I got a good one. I told myself I deserved that; Jair, you deserved everything you've got today.
In the beginning of February, Tao visited me. It's our first time traveling outside Thailand together. Traveling with Tao is always the best thing ever. We roamed around Melbourne, went to the great ocean road, visited the zoo in Ballarad. Oh my god, it's my first time going to the zoo since I'm here. We also went to Sydney together and I was like fall in love with the atmosphere there even though Thai people are around every corner.
Tao said goodbye and went back to Thailand, but my journey continued. I headed north to Brisbane and Gold Coast to fulfill my bucket list. One thing I've learned from this trip is don't travel alone on Valentine's day. Don't do it if you aren't ready to see a million couples sharing their love in the public places. Love was everywhere in that day.
I said 27 is sexy, and I've already passed that sexy year. I'm now 28. What should I say about this number? What is it supposed to be with this age? Anyway, one thing I'll always keep it in my mind is my 28th birthday. Yes, I promise, I will. It's the first birthday I'm somewhere, not home. It's the first birthday I didn't stay with my family, but friends and it's pretty awesome. I didn't mean it's awesome because I was with friends or I got many gifts, but the moment they spent time with me, the moment we spent time together. I was overwhelmed with happiness. To be honest, I still am. Thank you all for every thing you did for me. It means a lot, A LOT.
Photography class ruined my confidence, passion, believe, or it's easier to say it ruined everything that related to my feeling for art. It doesn't mean I got lower score than my expectation so I said like this. I honestly always believe that to decide it is a good photograph or not is very very personal perspective. It's okay to comment about technique but photography is not just about technique. It's about something more than that, deeper than that. Photography is another way to tell the story through your eyes. And sometimes, the story in your eyes doesn't need to be sharp. It could be a little bit blur and out of focus. We all have our own styles to tell our stories. Open your mind. Open your eyes. Be creative.
Damn! this thing really pisses me off.
But I don't care about it anymore, sorry sir! I don't want it to limit my love for photography. I told myself I'd follow my own believe, my own path. And I did it today.
How long didn't I take picture with my own style? How long didn't I take picture with happiness? I don't know, but I just know it's too long. Carmen and I caught up this morning, had a wonderful breakfast and then took picture around the CBD. Taking picture with her is fun, but I think we chatted more than snapped. Anyway, that's good and I love it this way. Seriously, she is the one who I always enjoy spending time with. She is my good friend, my lovely sister, my sweet little one.
The semester ended, eventually. But wait, there are 3 projects and 2 exams to go!
::วันแรก เดือนสุดท้าย สองพันห้าร้อยห้าสิบเจ็ด::
เป็นหนึ่งปีในช่วงระยะหลังที่ไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรกระทบจิตใจ ในทางกลับกันนี่ก็เป็นหนึ่งปีในช่วยระยะหลังที่เราไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน ไม่ค่อยได้หยิบกล้องถ่ายรูปออกมากดชัตเตอร์เก็บเรื่องราวระหว่างเส้นทางชีวิตดั่งใจหวัง แต่เหนือสิ่งอื่นใดปีนี้ก็มอบโอกาสให้เราได้เรียนในสิ่งที่อยากรู้ ได้รักในสิ่งที่ลงมือทำจริงๆ เสียที
หลายวันมานี้เราโหยหาหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำ หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยผ่านเข้ามา เราโหยหาความรู้สึกที่บีบคั้นทางอารมณ์ที่เราเคยเผชิญและก้าวผ่านมันมาได้ ปีนี้มันไม่ทุกข์ แต่ก็สุขได้ไม่สุด หรือเราอาจจะยังไม่ชิน ทุกปีที่ผ่านมาความรู้สึกมันต้องถูกบีบคั้น รวดร้าว เราจะรู้สึกถดถอยและท้อแท้ เราอาจดูเหมือนคนเข้มแข็ง แต่แท้ที่จริงเราแพ้ง่ายกว่าที่ใครหลายๆ คนจะเชื่อ แต่เราไม่ได้แพ้ให้กับทุกเรื่อง อย่างน้อยในเรื่องที่ส่งผลต่อความต้องการภายในจิตใจ เราไม่เคยนิ่งเฉย เราไม่เคยไม่คิดสู้
แต่ปีนี้มันง่ายไป อะไรหลายๆ อย่างได้มาง่าย มันง่ายจนเรากลัวว่าเราจะลืมความยากลำบากที่เคยพานพบ ชีวิตเราเคยเป็นดั่งใจหวังเสียทีไหน เรื่องความรู้สึกจิตใจนี่ก็สำคัญมากสำหรับเราเสียด้วย
เรารู้และเข้าใจดีว่าไม่มีอะไรคงที่ถาวร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปสิ่งหนึ่งที่เรายังคงหวาดกลัวเสมอคือการถูกกลืน เรากลัวว่าเมื่อลมพายุพัดมาแรงมากๆ ใจเราจะต้านทานมันไม่ไหว เรากลัวว่าสักวันเราจะถูกกลืนไปกับสังคมและผู้คนที่เราเคยตราหน้าไว้ว่าเราจะไม่มีวันเป็นอย่างพวกเขา เรากลัวว่าสักวันความศรัทธาในสิ่งที่เรารักและสิ่งที่เราเป็นจะไม่แรงกล้าเท่ากับวันนี้ เรากลัวว่าสักวันความภูมิใจในตัวเองจะลดน้อยถอยลงจนไม่เหลือเลย เรารักตัวเองมาก และเราก็กลัวใจตัวเองมากด้วยเช่นกัน
เราพยายามเตือนตัวเองเสมอว่าแม้เราจะเดินทางอย่างโดดเดี่ยวในหนทางที่เลือกเดิน แม้เราจะไม่มีจุดหมายปลายทางที่ตายตัว แม้เราจะไม่มีแผนที่ในมือบอกเส้นทางที่ชัดเจน แต่เราก็มีเรื่องราวต่างๆ มีผู้คนที่พบเจอระหว่างทางเข้ามาช่วยขับกล่อมให้คลายเหงา แม้ไม่ได้มากมากเท่าไหร่ แต่ก็พอมี
ความฝันมีพลัง
แรงบันดาลใจก็มีพลัง
จิตใจความรู้สึกนี่ตัวส่งพลังเลยล่ะ
::ผืนป่าบ้านเรา::
♬ กว่าต้นไม้สักต้นจะเติบโตขึ้นมา
ต้องใช้เวลาสักเพียงไหน
กว่าต้นไม้งอกงามจนหยั่งรากผลิใบ
ต้องอาศัยดินน้ำและสายลม
กว่าต้นไม้หลายต้นจะรวมกันเป็นป่า
ต้องใช้เวลาสักเพียงไหน
แหล่งดำรงสายพันธุ์ให้ชีวิตน้อยใหญ่
อยู่อาศัยร่วมกันอย่างร่มเย็น ♬
เราพาตัวเองไปทะเลบ่อยก็จริง แต่หัวใจของเราแท้จริงถูกซ่อนอยู่ในขุนเขาน้อยใหญ่
เรารักทะเล แต่ก็รักทะเลไม่เท่าผืนป่า โดยเฉพาะผืนป่าบ้านเรา
::ศุกร์สบายพอสมควร::
ไม่ว่าจะรัก
ไม่ว่าจะเศร้า
ไม่ว่าจะเหงา
ไม่ว่าจะเกลียด
หน้าตาคือหน้าต่างของความรู้สึก
เราดีใจที่เป็นคนที่มีความสุขกั
แค่ได้นั่งรถไฟเล่น ได้ไปในที่ๆ ไม่เคยไป
เห็นภูเขา เดินชมสวน ตีหลังกา ดูหมาวิ่งเล่น
ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ ฟังเสียงคลื่น ถ่ายรูปเล่น
กินไอติม เจอคนที่ไม่รู้จักกันส่งยิ้มให้
แค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกดีมากแล้
จริงๆ ชีวิตก็คงต้องการแค่นี้
สุขสร้างกำลังใจ
ทุกข์เสริมความแข็งเกร่ง
คลุกเคล้า
หมุนเวียน
ผัดเปลี่ยน
ไปเรื่อยๆ
::Smile Because You Can::
When I take pictures of people, I'd prefer them to smile in front of my camera.
And when someone take picture of me or even I take picture of myself, I'd prefer to smile too.
I smile because I can.
And you too.
This Is Who I Am

Two weeks ago, I filmed a short video about misunderstanding theme. I have to thank you my teammates, Aae and Som-O that they brought their friends to help us. Particularly, Foong who played as the lead actor and Tor who was a cinematographer in that day. I think we did pretty well. Only voice recording was an issue.
This filming made me realize that I can't be everything at time. And sometimes it's okay to be like that. It's better if I do what I'm good at. It's photographer and editor, not cinematographer.
::ก้าวเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่เกินตัว::
ยิ่งโต จุดมุ่งหมายในการเดินทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เราไม่ได้หมายความว่าเรารักสบายมากขึ้น
เรายังคงชื่นชอบการผจญภัยในที่ๆ ทุระกันดาร
ยิ่งไปยาก ยิ่งหายาก ยิ่งได้มายาก มันยิ่งท้าทาย
เราไม่ชอบนอนโรงแรมติดดาวมากมาย
ไม่ชอบไปในที่ๆ ดูไฮโซหรูหรา
ไม่ชอบที่ต้องแต่งตัวและทำตัวให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา
เราเขิน เราอาย เราอึดอัด เราทำตัวไม่ถูก
เราคุ้นชินกับการนอนโรงแรมน้อยดาว นอนโฮสเทลถูกแต่ดี
ชอบไปในที่ๆ ไม่ต้องเก็บกริยามารยาท
อยากหัวเราะเสียงดังก็ไม่ต้องหันไปมองว่ามีใครจับตาดูอยู่รึเปล่า
ชอบแต่งตัวธรรมดามากๆ แต่มันคล่องตัวในการบุกป่าฝ่าดง
เรารู้สึกคุ้นเคย คุ้นชิน และเป็นกันเองกับสถาณการณ์แบบนี้มากกว่า
ที่เราบอกว่าเปลี่ยน
เราหมายถึงเราให้ความสนใจกับคนท้องถิ่นมากขึ้นกว่าเดิม
เรารู้สึกได้ว่าเราให้ความสำคัญกับภูเขา ทะเล แม่น้ำ น้ำตก ตึกราบ้านช่องน้อยลง
ใช่ มันสวย มันทำให้เราตื่นตาตื่นใจ เดินมาห้ากิโลฯ สิบกิโลฯ แล้วเห็นมันก็ยังรู้สึกหายเหนื่อย
แต่วิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในถิ่นต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็สะกิดอะไรในใจเราไม่น้อย
เรายังคงชื่นชอบธรรมชาติ ยังคงขวนขวายที่จะเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปเจอน้ำตก เทือกเขาสวยๆ
ยังคงขวนขวายที่จะเดินทางข้ามทะเลเพื่อไปเกาะน้อยใหญ่ ที่สงบเงียบ
ส่วนสิ่งที่เพิ่มมาในทุกวันนี้คือเราสามารถเดินชมความขวักไขว่ในตัวเมืองต่างๆ ได้อย่างสนุกสนาน
อาจจะเป็นเพราะเราปรับตัวและเปิดใจกว้างในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้น
เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน
หากสิ่งที่เปลี่ยนทำให้เราอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างสบายใจและมีความสุขมากขึ้น
มีความลับอยากจะบอก เราเขียนบันทึกนี้เพื่อกระตุ้นต่อมเดินทางให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
มันเฉา มันเหงา มันวังเวง มันไร้ความตื่นเต้น มันไม่ใช่น่ะค่ะ ไม่ใช่!!!!
ขอให้ต่อมกระหายในการเดินทางจงสิงสถิตย์ในใจลูกอีกครั้ง สาธุ
สาวน้อยตาพระจันทร์เสี้ยว (ทำอะไร ไปไหน อย่าลืมลืมตา - เสียงไกลๆ จากเดนเวอร์)
::ความสวยงามของธรรมชาติไม่ต้องการเส้นกริด::
ทำไมคนเราต้องสร้างข้อแม้ให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากมาย
ทำไมต้องไปทะเลเพียงช่วงฤดูร้อน
ทำไมต้องไปเชยชมภูเขาเมื่อลมหนาวเข้ามาทักทาย
ทำไมเมื่อยามฝนโปรยถึงกลายเป็นช่วงเวลาตกต่ำของการเดินทาง
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตรงกันข้าม
ฉันพอใจและสนุกสนานกับการได้ออกเดินทางในฤดูฝน
แม้อะไรหลายๆ อย่างอาจดูขมุกขมัวไปหมด
แต่นี่แหละคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของธรรมชาติที่ใครหลายคนมองข้าม
ภูเขา น้ำตก และสายธาร
แม้จะดูแห้งแล้งในช่วงไร้ฝนและไม่โรแมนติกเท่าช่วงลมหนาว
แต่ลมร้อนที่พัดจางๆ ก็สร้างอีกหนึ่งบรรยากาศที่แปลกใหม่ให้กับผู้ที่ได้ไปเยือน
หาดทรายและท้องทะเลก็เช่นกัน
แม้ในวันฝนพรำหรือวันที่ลมหนาวทำงานอย่างแข็งขัน
แม้สีฟ้าครามสดใสของท้องฟ้าเบื้องบนและน้ำทะเลเบื้องล่างจะถูกลดทอน
แต่บรรยากาศสีเทาเบื้องหน้าก็ไม่สามารถทำลายความสวยงามของธรรมชาติได้อยู่ดี
::บันทึกไม่ลับในวันที่ไร้หยดฝนบนดอกหญ้า::
หากนี่คือวันอาทิตย์ในมหานครกรุงเทพ
ฉันคงหยิบหนังสือสารคดีท่องเที่ยวสักเล่มที่ยังอ่านไม่จบ
สมุดบันทึกเล่มเก่า ดินสอดีๆ สักแท่งใส่กระเป๋าสีน้ำตาลใบย่อม
สวมเสื้อยืดตัวเก่ง กางเกงขาสั้นคู่ใจ ใส่รองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดนัด
และถ้าอากาศดีแบบวันนี้ฉันคงคว้ากล้องถ่ายรูปคู่กายไปด้วยแน่ๆ
ทุกครั้งที่ฉันได้มีเวลานั่งคิดทบทวน
สิ่งแรกที่ฉันรู้และตระหนักได้ทุกครั้งคือกาลเวลาไม่เคยรอใคร
ห้าเดือนแล้วสินะกับการใช้ชีวิตในดินแดนใต้เส้นศูนย์สูตรแห่งนี้
มันเร็วจนน่าใจหาย มันเร็วจนฉันแทบไม่ได้ตั้งตัว
ไม่ง่ายเลยที่จะคว้าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาเก็บไว้
ฉันเคยคิดว่าฉันจะทำได้ดีกับการใช้ชีวิตที่นี่
แต่ความจริงนั้นกลับตรงกันข้าม ฉันตัดสินใจพลาดหลายครั้ง
ตกม้าตายในสถานการณ์ที่สมควรจะควบม้ากระโดดผ่านไปอย่างไร้ที่ติ
แต่นี่แหละ นี่แหละคือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าชีวิต
ฉันเรียนหนัก มันหนักมากสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจชีวิตในห้องเรียนอย่างฉัน
ห้าปีกับปริญญาตรีเทียบไม่ได้เลยกับการเรียนภาษาที่นี่
แต่นี่คืออีกหนึ่งทบเรียนชีวิตที่ฉันกำลังพิสูจน์ว่าหากฉันขยันและตั้งใจ
แม้ไม่ได้ดีเกินกว่าใคร แต่ฉันก็ทำได้ดีพอในแบบฉบับของฉัน
การแบ่งเวลาคือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากระยะเวลาห้าเดือนที่อยู่ที่นี่
ฉันใช้ชีวิตในห้องเรียนและไม่ลืมที่จะออกไปเก็บเกี่ยวชีวิตนอกตำรา
ผู้คน ภาษา และวัฒนธรรมต่างถิ่นสอนให้ฉันเปิดใจและเข้าใจโลกมากขึ้น
แม้ประสบการณ์เดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งที่ผ่านมาของฉันได้สอนหลายสิ่งอย่าง
แต่วันนี้ฉันกล้าบอกเลยว่ามันสู้ไม่ได้เลยกับการได้ลองใช้ชีวิตในดินแดนที่ไม่คุ้นชินอย่างจริงจัง
นี่คือวันอาทิตย์ในดินแดนใต้เส้นศูนย์สูตร
ฉันหยิบ The Kite Runner ที่อ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้า
ในขณะที่อีกมือมีสมุดบันทึกเล่มใหม่สีเขียว ปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน
สวมเสื้อยืดแขนยาว กางเกงขาสั้นคู่ใจ ใส่รองเท้าแตะหนีบที่ใกล้ลาโลกเต็มที
แม้วันนี้อากาศดีแต่ฉันก็เลือกที่จะเก็บภาพถ่ายในวันนี้ด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือ
แด่เธอ, พี่สาวผู้ที่อยู่ห่างไกลกันเกินครึ่งฟ้า
แด่เธอ, สาวเหนือผู้มาพร้อมรอยยิ้มสบายตา
แด่เธอ, หญิงสาวผู้หลงใหลในภาพถ่ายขาวดำ
แด่เขา, หมีหนุ่มที่เป็นมิตรที่สุดในจักรวาล
ด้วยรักที่มากมายและคิดถึงที่เกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย
กุญแจ : )
::It Is Supposed To Be A Rainy Friday::
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังตามเวลาที่ตั้งไว้
เราเอื้อมหยิบมือถือดูเวลา เจ็ดโมงสิบเก้านาทีตามที่ตั้งไว้เมื่อคืน
กดปิด เลื่อนเวลา และนอนต่อตามสเต็ปเหมือนอย่างทุกวัน
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครึ้ง
เจ็ดโมงห้าสิบนาทีคือเวลาในจอมือถือ
เรานอนกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ปรากฏว่าหันซ้ายหันขวาได้ไม่มากนัก
เรานอนตกหมอน!
กลิ้งจนพอใจ
กระเด้งตัวลุกขึ้น
อาบน้ำ แต่งตัว
วันนี้มีนัดกับโซลิต้าและเพื่อนๆ ในเมือง
เก้าโมงสิบนาทีเดินออกจากบ้านพร้อมอากาศอึมครึม
แอนโทนิโอผิวปากเรียกตอนรอรถไฟที่สถานี
เราทั้งคู่สภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
เหมือนซอมบี้ที่โหยหาหมอน ที่นอน และผ้าห่ม
ก่อนรถไฟจะมาสองนาที อาเมียก็เดินมาสมทบ
Flinder Station คือสถานที่รวมตัว
เก้าโมงครึ่งคือเวลานัดหมาย
แอนโทนิโอ อาเมีย และเราไปถึงประมาณเก้าโมงสี่สิบห้า
แน่นอน, คนอื่นๆ ไปถึงกันแล้ว ยกเว้นโซลิต้า
ระหว่างนั่งรอโซลิต้า อนาเม้าท์เรื่องอาเมียให้ฟัง
เรื่องราวของอาเมียไม่ใช่แค่เรากับอนาที่สนใจ
ตอนทานข้าวกลางวันจอร์แดนกับแอนโทนิโอก็แอบเม้าท์มอยเรื่องนี้
เราทั้งหมดเหมือนจะได้ข้อสรุปอะไรบางอย่างที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน!
โซลิต้า ในที่สุดเธอก็มา
ว่าแล้วว่าโซลิต้าต้องพาพวกเราไปจิบกาแฟละเลียดเค้กที่ Brunetti
เราจิบลาเต้ และแชร์เค้กกับอนา
ACMI ดีเกินคาด เราชอบที่นี่แฮะ
สี่สิบห้านาทีสำหรับเรามันไม่พอ
เราสนใจทุกอย่างในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
โซลิต้าพาพวกเราไปทานข้าวที่ Lygon Street
จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อร่อยใช้ได้เลยล่ะ
แม้จะแพงไปหน่อยก็เถอะ
ระหว่างทาง
เราได้พูดคุยและเรียนรู้เพื่อนหลายๆ คนมากขึ้น
อนาคือเพื่อนคนแรกที่นี่ที่เรารู้สึกว่าเราคุยได้ด้วยความสบายใจ
ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ที่ต้องคอยดูแลน้อง
ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นน้องที่ต้องคอยเกรงใจพี่
เราชอบที่อนาเป็นคนใจกว้างมาก เปิดรับ และพยายามเข้าใจคนอื่น
ยิ่งพอได้คุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น เรารู้เลยว่าเราเอ็นดูแอนโทนิโอมาก
เวลามองหรือคุยด้วยก็มักจะมีภาพมาแจมทับซ้อนอยู่ลางๆ
แอนโทนิโอเหมือนเจ้าหนูจำไม อยากรู้ อยากเห็น ตลอดเวลา
เราเพิ่งรู้ว่าจอร์แดนชอบถ่ายรูปเหมือนกันกับเรา
จอร์แดนเป็นคนที่มีมารยาท จิตใจดี และนิสัยดีมาก
แม้จะชอบทำหน้าตาเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
แต่จริงๆ เป็นคนสนุกสนานและช่างเม้าท์ไม่ต่างจากแอนโทนิโอเลย
ถ้าเปิดใจให้กว้าง ธานีไม่ได้แย่อะไรนัก
เรากลับรู้สึกว่าธานีก็คุยสนุกและเป็นกันเอง
เราชอบเวลาธานีคุยกับแอนโทนิโอ
คล้ายๆ กับเวลาที่แป้งคุยกับแอนโทนิโอไม่มีผิด
ดิงช็อคไปเลยพอรู้ว่าเราอายุยี่สิบหก
ส่วนเราดีใจที่เขาบอกอายุจริงของเขาให้เรารู้
ไม่ได้โกหกเหมือนเวลาเขาบอกคนอื่น
ดิงอายุยี่สิบแปด
สตรองก็คือสตรอง
เป็น the greatest chinese guy on earth สำหรับเราเสมอ
ไรอันหมกมุ่นกับการหารงานพาร์ทไทม์
เราว่าไรอันเป็นคนที่วิชาการสุดโต่ง
เวลาถามอะไรมาทีนึกว่ากำลังอยู่ในห้องสัมภาษณ์งาน
เราต้องยอมรับว่าเราการพูดคุยกับเพื่อนๆ ชาวอาหรับ
มุตตาฟา และสองอาเมียนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเราเลย
ถ้าไม่ใช่เรื่องเรียนแล้วก็เหมือนอยู่กันคนละวงโคจร
ส่วนจี เราไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเขา สงสารเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่รู้สินะ!
เรากับดิงมีความคิดเหมือนกันว่า
โซลิต้าก็คือสภาพอากาศในเมลเบิร์นดีๆ นี่เอง
เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวลมแรง เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก
แปรปรวนเกินกว่าจะคาดคะเน
ห้าโมงเย็นแล้วนะเธอ
เรารอเธอมาทั้งวัน
เพราะตามพยากรณ์อากาศ
it's supposed to be a rainy friday.
::9 Days Off::
Time flies, especially when you are in that happy moment. 9 days off I spent not as worthy as I planned. I haven't been to the beach in the early morning. I haven't finished reading The Kite Runner. I haven't caught a camera. I haven't visited the zoo. I haven't hired a car to drive to Bodhivana Monastery, Thai temple. And also I haven't visited the Dandenong Ranges.
On the other hands, I did things I didn't plan.
On tram number 16 I took from home on that Friday evening, I sat opposite a hippie lady. She was listening to music while making bracelet. I didn't know if she did beautiful bracelet, but one thing I knew was her voice was real amazing. I jumped off at St.Kilda to join the St.Kilda Festival, but all were done for that day. I
fell down at first but to walk with the windy weather on the seashore could heal. I walked, walked, and walked from the seashore to restaurants zone and met that hippie lady selling her bracelets on the street. She remembered me and of course I remembered her. At night, I stopped at one bracelets stall. It wasn't different from others, the sellers were just really friendly. A lady said hi and promoted her stuffs. From her accent, I knew immediately she wasn't the local and I was right, they are an Argentinian couple holding one year working visa. We talked and talked. I miss this feeling seriously. The feeling when I traveled alone and got to know people along the journey.
I joined mini concert of Jessica Mauboy, a part of Indigenous Art Festival at Fed Square. She reminded me of younger Tata Young, very talented singer.
Eventually, I joined the St.Kilda Festival on the last day of festival. There were many people, some came with friends and some came with family. Some walked, some sat, some danced, some chitchatted, some laughed, some took pictures and these made me feel that I was in Australia!
I went to Brunswick Flea Market. There was nothing special, except that northern umbrella style from my country, Thailand. I thought I was in Borsang. Perhaps, importing traditional goods from Thailand to sell here can make some money. It wasn't interesting market, so I took train to Altona, where I planned to come alone in the early morning someday. A plan that I wanted to do before going back to school, but I didn't do it.
On every Monday, there is special movie fare promotion at Cinema Nova. You know, I've never missed anything like this. I watched Her and 12 Years A Slave. I adored the first one.
Many people recommended me to try coffee and cake at Brunetti. I did. However, Mario's Coffee House is still the number one in my heart.
I ended up my 9 days off with walking and looking around the Sustainable Living Festival after the rain. I confirm the Melbourners love ecosystem, seriously.
::Wanderlust::
all of my journeys make me fall in love with not knowing where i am. to look right and left and straight ahead is unfamiliar. getting lost especially in the cities happens very often, and i still love it this way. i love traveling alone because i know friendships are waiting for me along the journey. however, i don't mind if my favorite fellow travelers will go with me. sometimes, or more often than sometimes, the way my journey turns out isn't the way i'd thought it would. i did worry, but not anymore because i know it's called adventure. and my adventure will never be the same as someone else's, yours either.
tonight, i'm so struck by the wanderlust.
::Rambling Before Bed::
Sometimes when I'm nervous,
I'll become a little quiet,
I'll become a little unsociable.
It doesn't make sense, I know.
To me either!
But it means I like you.
Kunjair,
Jair,
Jitsupa,
J,
Janie,
Jade,
Whatever you call me.
Good night!
::2014, Next Chapter Of My Life::
less talking, more listening.
less planning, more doing.
less coffee, more milk.
less meat, more veggie.
less complaining, more encouraging.
less worrying, more hoping.
less doubting, more believing.
less lazy around, more working out.
less frowning, more smiling.
less insecurity, more confidence.
less ignorance, more understanding.
less hate, more love.
keep traveling.
keep shooting photography.
keep being myself.
: )
less planning, more doing.
less coffee, more milk.
less meat, more veggie.
less complaining, more encouraging.
less worrying, more hoping.
less doubting, more believing.
less lazy around, more working out.
less frowning, more smiling.
less insecurity, more confidence.
less ignorance, more understanding.
less hate, more love.
keep traveling.
keep shooting photography.
keep being myself.
: )
::The Perfect Day::
เป็นหนึ่งวันที่วุ่นวายแต่มีความสุขมาก เราตื่นแต่เช้าตรู่ไปตรวจสุขภาพเพื่อทำวีซ่าที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการและเราก็ประทับใจการบริการของที่นี่มาก
การตรวจสุขภาพเพื่อทำวีซ่าก็ไม่มีอะไรมาก เขาจะให้เราช่างน้ำหนักวัดส่วนสูง วัดสายตาคร่าวๆ ตรวจปัสสาวะ เอ็กซ์เรย์ปอด และพบคุณหมอเหมือนเราตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป สำหรับค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,220 บาท ถ้ามาวันธรรมดาน่าจะเร็วกว่านี้เพราะมีคุณหมออยู่กันเยอะ เราไปวันเสาร์คุณหมอที่ตึกอินเตอร์มาไม่กี่ท่านก็เลยต้องรอนานหน่อย ใช้เวลาที่โรงพยาบาลประมาณเกือบสามชั่วโมงได้
เสร็จจากตรวจร่ายกายเราก็ไปเดินจับจ่ายที่สวนจตุจักรกับพรต่อ ตั้งใจจะไปซื้อเสื้อผ้าเอาไปใส่ที่เมลเบิร์น แต่คงเพราะอากาศร้อนก็เลยได้แต่เสื้อบางๆ เบาๆ มาเพียบ จะซื้อรองเท้าบู้ทก็ยังไม่เจอที่โดนใจใช่เลย แต่ถ้าระหว่างนี้ยังไม่เจอที่ถูกใจจริงๆ ก็จะกลับไปเอาคู่ที่เกือบจะปิ๊งที่สวนจตุจักรนั่นแหละ สนนราคาคู่ละ 3,200 บาท รองเท้าบู้ทราคานี้ก็รับได้อยู่ นอกจากเสื้อผ้าก็ได้รองเท้ามาหนึ่งคู่และแว่นหนึ่งอัน ขอจดไว้หน่อยว่าพี่เจ้าของร้านแว่นหน้าตาดีมากที่สุด เห็นหน้าแล้วต้องรีบเลี้ยวเข้าร้านอะไรประมาณนี้เลย!!
ห้าโมงครึ่งมีนัดกับเพื่อนๆ rejoice ถ้าไม่นับโก้ครั้งล่าสุดที่เราเจอเพื่อนกลุ่มนี้คือเมื่อสองปีที่แล้วในงานรับปริญญาพี่วี่ ทุกคนเหมือนเดิม เอ็นดูเราเหมือนเดิม เรารู้ว่าบางคนพยายามชวนเราคุยเพราะกลัวว่าเราจะรู้สึกอึดอัดซึ่งก็ต้องขอบคุณมากๆ การมาพบเจอเพื่อนครั้งนี้ทำให้เราได้รับข่าวดีว่าออยกับพี่ไทด์จะแต่งงานปีหน้าซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะกลับมาร่วมงาน น่าจะเป็นงานแต่งงานในรอบหลายปีที่เรายินดีและอยากไป
ดูสิ, ต่างคนก็มีหนทางเดินเป็นของตัวเอง หลายๆ คนมีความก้าวหน้าในชีวิตการงาน ส่วนเราเองก็มีหนทางที่เลือกเดินแล้วเหมือนกัน อาจจะต่างจากคนอื่นหน่อย อาจจะไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนใครเขา แต่เราก็ภูมิใจในการทัศนารอบโลกในแบบของเรา
::Congratulations!!!::
Dear Miss Silpiphat,
Congratulations on becoming a student of Swinburne University of Technology in Melbourne, Australia.
After doing step by step for months, I'm now an official student of Swinburne university where is well-known for multimedia and IT based in Melbourne, Australia. Even though Swinburne wasn't the first choice, but the right choice in the end. And I was very grad when I got an acceptance confirmation email last Friday.
Back to the beginning of this year, I've worked hard to practice English and spent times to find university where has the major I'm interested. Denver University was the first choice in my mind because my beloved cousin, Tao has been living in Denver and also there is the film and journalism major I wanted to study. It must be awesome to live and do many activities with her like we did in Bangkok before she has left. However, dream is just a dream, I couldn't make it come true. I was too lazy and not ready to fight for it. Taking TOEFL and GRE wasn't easy at all. I needed time to prepare and practice it so hard which I didn't have enough time to do so. I changed my mind, changed the major I wanted to study, changed the country I wanted to pursue my dream, and of course, the university had to be changed also.
Australia was the second choice and it's become the right one for me. Melbourne is one of the cities I always want to go. Besides, it is the only city outside Thailand I've been always wanted to live. And finally it's going to happen! University of Melbourne was the first and the only one I wanted to study in Melbourne, nonetheless it's not suitable for me after I thought over and over again. My friend, Gift recommended me Swinburne University. In that time, she's just moved from Perth to Melbourne and had been studying English course in Swinburne. She said it's not the best but good enough for us. Actually, I have to say that the campus is very nice location. It's located in Hawthorn, where is far from the downtown about 6 kilometers. It's kind of calm suburb with the comfortable transportation. Everything sounds perfect, doesn't it?
Right now, I wish, wish, and wish that my student visa will be okay LOL
::ฝนปีที่ยี่สิบหกยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง::
ฤดูฝนพัดผ่านมาอีกครั้ง มันเป็นฝนปีที่ยี่สิบหกของเรา ปีนี้ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากหัวใจยังคงมุ่งมั่นในรอยย่ำที่เลือกเดิน
สำหรับเราการเดินทางเป็นยาเสพติดที่ร้ายกาจและรุนแรงอย่างหนึ่ง หากเริ่มแล้วก็ยากที่จะหยุด เมื่อได้นั่งคิดทบทวนอีกทีเราออกเดินทางด้วยตัวเองติดต่อกันทุกปีมากว่า 7 ปีแล้ว เหมือนเป็นเวลานานแต่ในความรู้สึกกลับเหมือนเพียงลมพัดผ่านเพียงวูบเดียว
เราสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลา 7 ปีของการเดินทาง แรกเริ่มเราก็แค่เดินทาง เราหมายถึงเดินทางจริงๆ ไม่ได้จดหรือบันทึกอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เข้าปีที่สองที่สามเราเริ่มจดบันทึกเรื่องราวระหว่างทางเป็นตัวหนังสือ ผ่านไปอีกปีเราก็เริ่มจริงจังกับการถ่ายภาพบันทึกการเดินทางมากขึ้น และณ ปัจจุบันปีที่เจ็ดเรายังคงถ่ายภาพบันทึกการเดินทางและเริ่มเรียนรู้การถ่ายวีดีโอบันทึกรอยย่ำของสองเท้าในที่ต่างๆ ควบคู่กันไป
::ฝนตกลงกลางใจ::
คิดถึงเสียงฝนร่วงพรำกระทบหลังคา
คิดถึงกลิ่นดินดอกหญ้าหลังลมพัดฝนจางหาย
คิดถึงรุ้งบางพาดผ่านฟากฟ้ากว้างไกล
คิดถึงละอองไอหยาดฝนบนกลีบบัว
ในห้วงคะนึงของฤดูกาลฝนแล้ง
::ยี่สิบหก มกรา, หนึ่งวันดีดีดีดีดี::
วันนี้ตื่นเช้า ออกไปเดินเล่นที่สวนรถไฟ
การตื่นเช้าคือหนึ่งเรื่องดี
ระหว่างทางมีคนเป็นลมบนรถไฟ คนข้างๆ ช่วยกันพาน้องเขามานั่ง
การช่วยเหลือกันคือหนึ่งเรื่องดี
เดินเล่นคนเดียวเรื่อยๆ สักพักโก้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน
การพบพูดคุยกับโก้คือหนึ่งเรื่องดี
เดินคุยไปถ่ายรูปไป คุณพ่อ คุณแม่ ลูกสาว ลูกชาย พี่ ป้า น้า อา ต่างพากันมาเที่ยวสวน
การได้เห็นหลากหลายครอบครัวแบ่งปันเวลาให้กันและกันคือหนึ่งเรื่องดี
ทั้งหมดทั้งมวลมาจากความอยากถ่ายรูปขั้นสูงสุด
และการได้กดชัตเตอร์คืออีกหนึ่งเรื่องดี
ขอบคุณทุกเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เห็นและได้ไตร่ตรอง
::หนึ่ง มกรา ห้าหก::
นักเดินทาง
แบกเป้เร่ร้างสู่หนไหน?
ร้อยดงพันดอยด้นไป
เหนื่อยไหม? หัวใจคนจร
นักเดินทาง
ฤา? พระจันทร์สาปสร้างร่างหลอน
ร้างเรือนไร้รักแรมรอน
เหนื่อยนักพักนอนเพียงคืน
ดื่มดาวดิ่งดำทะเลสาบ
ดื่มแดดแผดอาบตราบตื่น
ดื่มลมห่มโหมโครมครืน
ดื่มกลืนดื่มกินวิญญาณ์
นักเดินทาง
แบกคำถามเร่ร้างไปข้างหน้า
รอใครสักคนดั้นด้นมา
แลกคำตอบตามประสานักเดินทาง
- บินทีละหลา, บินหลา สันกาลาคีรี
2555 คือปีแห่งการเดินทางของเรา แต่สิ่งที่หลงลืมร่วงหล่นระหว่างทางคือการจดบันทึก
2556 ก็ไม่ต่างอะไรจากปีที่แล้วมากนัก มีหลากหลายเส้นทางรอเราอยู่ในวันข้างหน้า แต่เราจะไม่หลงลืมการจดบันทึกการเดินทางอีกแล้ว และนี่จะทำให้ปีนี้แตกต่างและสมบูรณ์กว่าปีที่ผ่านมา
ด้วยรักและตระหนักในตัวตน
Subscribe to:
Posts (Atom)