::จัดกระเป๋า::


หลังจากพักผ่อนอยู่กับบ้านมาซักพัก ในที่สุดก็ถึงเวลาออกเดินทางเพื่อไปหาประสบการณ์อีกครั้ง การก้าวเดินนับจากนี้ไป ฉันจะก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง


วันนี้ไปปฐมนิเทศมาค่ะ ที่ใหม่ เส้นทางใหม่ เพื่อนใหม่ อาจารย์ใหม่ คณะใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ ฉันหวังว่าฉันคงไม่วางมันลงอีกครั้ง ฉันจะไม่วิ่งแล้วล่ะค่ะ เข็ดแล้ว วิ่งแล้วไม่ได้ทำให้การเดินทางของฉันสนุกขึ้นเลย นึกว่าจะทำให้คึกคักบ้าง แต่คิดผิดมาตลอด ต่อไปนี้จะเดินอย่างช้าๆ ค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เดินไป เหนื่อยก็พัก แต่จะไม่เปลี่ยนเส้นทางอีกแล้ว


นับจากวันนี้ มีเวลาจัดกระเป๋าเตรียมตัวรับกับสิ่งใหม่ๆที่จะเข้ามาในระหว่างการเดินทางเส้นนี้ 2 วัน ฉันจะนำอะไรใส่กระเป๋าไปบ้างดีคะ อืม...

รอยยิ้ม 
น้ำใจ 
ความรัก 
ความให้อภัย 
สมุดบันทึก/ปากกา 
อ้อ แล้วก็ไม่ลืมที่จะนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาใส่เข้าไปด้วยค่ะ

วันนี้คงจัดสิ่งเหล่านี้ลงกระเป๋าไปก่อน เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทาง แล้วคืนนี้ฉันจะไปนั่งคิด นอนคิดอีกว่า จะต้องนำอะไรไปอีกมั้ย


คุณคะ มีอะไรจะแนะนำก็บอกกันได้นะคะ เพราะอย่างที่บอกไว้น่ะค่ะ ครั้งนี้ฉันจะก้าวไปอย่างมั่นคง ก็เลยต้องเตรียมตัวให้มากหน่อย จะได้ไม่หลงลืมอะไร เพราะครั้งนี้ฉันจะไปไกลเลยล่ะค่ะ อีกหลายปีที่เดียวกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ เอาใจช่วยฉันด้วยนะคะ

::ความยาก-ง่ายของชีวิต::


วันนี้ฉันมี Forward mail มาฝากล่ะค่ะ ฉันเห็นว่ามันเป็นข้อความที่ดี เลยอยากมาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน แต่ว่าบางคนอาจเคยได้อ่านกันมาบ้างแล้วนะคะ


ง่าย... ที่จะหาที่อยู่ในสมุดโทรศัพท์ ยาก... ที่จะหาที่อยู่ในใจคน 
ง่าย... ที่จะตัดสินความผิดของคนอื่น ยาก... ที่จะยอมรับความผิดของตนเอง 
ง่าย... ที่จะพูดโดยไม่คิด ยาก... ที่จะยั้งลิ้นของตนเอง 
ง่าย... ที่จะทำให้คนที่รักเราเจ็บ ยาก... ที่จะรักษาบาดแผล 
ง่าย... ที่จะขอการอภัย ยาก... ที่จะให้อภัยผู้อื่น 
ง่าย... ที่จะตั้งกฏเกณฑ์ ยาก... ที่จะทำตามกฏเกณฑ์ 
ง่าย... ที่จะฝัน ยาก... ที่จะต่อสู้เพื่อความฝัน 
ง่าย... ที่จะอวดชัยชนะ ยาก... ที่จะพ่ายแพ้อย่างสง่างาม 
ง่าย... ที่จะชื่นชมพระจันทร์ข้างขึ้น ยาก... ที่จะเห็นพระจันทร์ข้างแรม 
ง่าย... ที่จะสะดุดหกล้ม ยาก... ที่จะรีบลุกขึ้น 
ง่าย... ที่จะสนุกสนานกับชีวิต ยาก... ที่จะให้คุณค่าแท้จริงของชีวิต 
ง่าย... ที่จะให้คำสัญญษ ยาก... ที่จะทำตามคำสัญญา 
ง่าย... ที่จะบอกว่ารัก ยาก... ที่จะแสดงออกว่ารักจริง 
ง่าย... ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ยาก... ที่จะปรับปรุงตัวเอง 
ง่าย... ที่จะทำผิด ยาก... ที่จะเรียนรู้จากความผิดนั้น 
ง่าย... ที่จะคิดปรับปรุง ยาก... ที่จะลงมือกระทำ 
ง่าย... ที่จะรับ ยาก... ที่จะให้ 
ง่าย... ที่จะอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก ยาก... ที่จะเข้าใจทุกบรรทัดที่อ่านและปฏิบัติได้


ลองอ่าน คิดตาม และนำไปใช้ หรือปรับปรุงระหว่างการเดินทางของชีวิตดูนะคะ


PS. ฉันเปลี่ยนชื่อไดอารี่แล้วนะคะ สังเกตุเห็นกันรึเปล่าเอ่ย :) 

::ปัจจัยของความเปลี่ยนแปลง::


เคยคิดกันมั้ยคะว่าอะไรทำให้คุณเปลี่ยนไป? ทั้งเปลี่ยนไปในทางทีดี และในทางที่แย่ลง มันมีอยู่หลายปัจจัยเนอะ ว่ามั้ยคะ


สำหรับตัวฉันนะ
- ครอบครัว
- เพื่อน
- โรงเรียน/มหาลัย
- วัย - ความกดดัน
- ผู้คนที่ผ่านเข้ามา
- ความคิดของบางคนที่เขียนผ่านหนังสือบางเล่ม
- สถานที่/สภาพแวดล้อม/สังคม


นี่คือปัจจัยที่ฉันคิดว่ามีผลกระทบต่อสภาพกายภายนอกและสภาพใจภายในค่อนข้างมาก แต่ก็อย่างว่าล่ะนะคะ โลกยังหมุนไปเรื่อยๆ เลย แล้วคนอย่างเราๆ จะไม่ขยับเปลี่ยนแปลงไปไหนเลยก็คงไม่ได้ ใช่มั้ยล่ะคะ คนเราต้องเปลี่ยนไปตามสภาพที่ควรจะเป็นแหละเนอะ (รึเปล่าคะ?)

::จังหวัดที่ 77::


เมื่อเช้า ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง (และคาดว่าอีกหลายฉบับคงพาดหัวข่าวนี้เช่นกัน) พาดหัวข่าวว่าจะตั้งนครสุวรรณภูมิเป็นอีกจังหวัดของประเทศไทย คือเป็นจังหวัดที่ 77


วันนี้ที่หยิบยกหัวข้อข่าวนี้มาเขียนเพราะว่า ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับเรื่องนี้ การที่จะตั้งจังหวัดขึ้นมาอีกจังหวัดนึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องร่างกฎหมายใหม่ ต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง ในความคิดของฉัน ฉันว่ามันไม่คุ้มเอาซะเลย มีแต่จะโกงกันมากกว่านี้อีก เอาแค่การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิก็กินกันไปเท่าไหร่แล้วล่ะ เม็ดเงินที่ประชาชนอย่างเราๆ จ่ายไป ครึ่งนึงสร้างสนามบิน อีกครึ่งคงเข้ากระเป๋าพวกท่านซะตุงเลยสินะ


อีกเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้ตั้งเป็นจังหวัดใหม่ก็คือ ต่อไปหลังจากที่สนามบินเปิดทำการในปีหน้า รถ ผู้คน มลพิษ คงอบอวลอยู่แถวนี้เต็มไปหมดแน่นอน แค่นี้ก็แย่แล้ว แต่ทางรัฐบาลยังคิดจะสร้างนู้น ปลูกนี่ให้มันเป็นเมืองเข้าไปอีก ถึงแม้จะบอกว่าถ้าสามารถดำเนินการตั้งนครสุวรรณภูมิเป็นจังหวัดใหม่ได้ ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจมากมายมหาศาล แต่ลองคิดสิ มันคุ้มแล้วหรือ กับการเสียสภาพร่างกาย สภาพจิตใจของทรัพยากรบุคคลของประเทศลงทีละนิดๆ เนื่องจากมลพิษต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ความวุ่นวายที่แน่นอนว่าผู้คนแถวนั้นจะต้องรับมือ จากที่เมือก่อน ผู้คนแถวนี้อยู่กับสวน มีบ่อปลา มีความเป็นชาวบ้าน แต่นับวันสิ่งเหล่านี้จะถูกทำลายทีละนิด แต่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน


อาจจะเป็นเพราะฉันคิดไกลไปรึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงรู้สึกไม่ดีกับข่าวนี้เอามากๆ แต่ไม่แน่นะ มันอาจจะดีก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ (แต่เอาเป็นว่า ยังไงฉันก็ไม่เห็นด้วยละกัน)

::ต่างสถานที่ ต่างอารมณ์::


คืนหนาวคืนนี้ มองฟ้า มองดาว ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร นานๆ จะมีโอกาสได้ขึ้นมาอยู่ที่สูงอย่างนี้เสียที ทุกอย่างรอบตัวทำให้รู้สึกปลอดโปร่งเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรหลายๆ สิ่ง ไม่เหมือนในเมืองกรุง ที่มองฟ้าหาดาวแทบมองไม่เห็น แต่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสูงเฉียดฟ้าเด่นเป็นสง่า เด่นจนบังเดือนบังดาว บังกระแสลมหนาวยามค่ำคืนไปเสียหมด เห็นเช่นนี้แล้วรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน... เมืองกรุง


 
เขาค้อ, เพชรบูรณ์ : 10 ตุลาคม 2548


การเดินทางพร้อมกับสายฝน คงไม่มีใครผู้ใดชอบนัก มันเป็นอุปสรรคต่อหลายๆ อย่าง ทำอะไรก็ไม่สะดวกนัก แต่ข้อดีของสายฝน มันทำให้ตลอดเส้นทางการเดินทางของเรา ได้พบเจอแต่สิ่งที่ชุ่มฉ่ำ มองไปทางไหนก็สบายตา


ถนนทอดยาวตามที่ราบเชิงเขา ไม้ใหญ่สีเขียวสดปกคลุมสองข้างทาง นกน้อยบินทะยานบนฟากฟ้า ก้อนเมฆเปิดทางให้พระอาทิตย์ทำงานส่องแสงในยามเช้า แต่ไม่ได้ส่องจนแสบตา เพราะสายฝนได้ร่วงหล่นพอให้หายคิดถึง ช่างเป็นวันที่บรรยากาศดีเสียจริง


 
กลางทาง, กาญจนบุรี : 13 ตุลาคม 2548



และแล้วก็ถึงวันปลดเป้ออกจากบ่าเสียที รู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้าน แต่อีกใจก็รู้สึกว่า นี่ฉันต้องมาผจญกับเมืองกรุงอีกแล้วหรือนี่!

::เด็กไทยกับหนังสือ::


วันนี้ได้ไปแวะชมงานสัปดาห์หนังสือมาค่ะ อันที่จริงแล้วไม่อยากจะไปวันเสาร์-อาทิตย์อย่างนี้เลย คนมันเยอะ ไปแล้วไม่เหมือนไปดูหนังสือ มันเหมือนไปเบีบดคนเข้าชมคอนเสิร์ตของนักร้องคนดังมากกว่า


ครั้งนี้ ได้เจอหน้าคราตานักเขียนคนดังหลายคน (เอ๊ะ อาจจะดังในความรู้สึกฉันคนเดียวนะคะ!) ได้หนังสือมาหลายเล่มพอสมควร ใจจริงแล้ว หนังสือที่ฉันต้องการจะหามาอ่านมากๆ มีอยู่ 2 เล่ม แต่วันนี้ฉันไม่ได้ทั้ง 2 เล่มกลับมา เพราะเล่มนึง ฉันจำชื่อสำนักพิมพ์ไม่ได้ และอีกเล่มนึง เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์เล็กๆ ไม่มีบูธเป็นของตัวเอง เลยไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกวางอยู่ที่บูธของสำนักพิมพ์ไหน แย่จังเลยค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ฉันได้หนังสือที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อมาหลายเล่มอยู่ ไม่แน่นะ ไอ้ที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเนี่ย ฉันอาจจะเจออะไรดีๆ ในนั้นก็ได้นะคะ


อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ในงานวันนี้คนเยอะมาก ฉันเห็นภาพเยาวชนไทยในยุคปัจจุบันนี้ รักที่จะอ่านหนังสือกันมากขึ้น คือส่วนใหญ่ที่ไปกันจะเป็นเด็กวัยรุ่น วัยเรียน สำหรับวัยทำงานขึ้นไป ก็หนาตาอยู่เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เห็นแล้วน่าประทับใจนะคะ ที่เด็กไทยหันมาหยิบจับนั่งอ่านหนังสือกันเช่นนี้


แต่ถึงจะเห็นอย่างนั้น ฉันก็แอบคิดไม่ได้ว่า เยาวชนเหล่านี้ (เด็กไทยอย่างฉันเนี่ยแหละค่ะ) รักการอ่านหนังสือจริงหรือ มางานเพื่อที่จะมาเก็บหนังสือที่ตนรัก มาเจอนักเขียนที่ตนชอบ หรือมาเพื่อเดินโฉบไปโฉบมา มาตามกระแส ตามแฟชั่น ซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะเพื่อนอ่าน ถ้าเราไม่อ่านเดี๋ยวจะตกยุค อะไรประมาณนี้รึเปล่า ไม่รู้ทำไม ความคิดเช่นนี้ถึงแว๊บเข้ามาในโสดประสาทของฉัน แต่จริงๆ นะคะ มันคือการมาเพื่อตามกระแสรึเปล่า


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมากันตามกระแส อย่างน้อยพวกเค้าก็ได้เปิดโลกกว้างในการอ่านหนังสือ ถึงจะอ่านไปอย่างนั้นก็ตาม แต่ว่ามันก็น่าจะเป็นการตามกระแสที่ดี เป็นการตามกระแสที่ปลูกฝังการรักการอ่านไปในตัว ถ้าเยาวชนไทยมาตามกระแสอะไรดีๆ อย่างนี้บ่อย คงจะดีไม่ใช่น้อย


ก่อนที่ทุกๆ คนจะคิดว่าฉันเป็นหนอนหนังสือตังยง ขอออกตัวหน่อยนะคะว่า ฉันไม่ได้ชอบอ่านหนังสืออะไรมากมาย เพียงแต่ว่าอ่านเจาะเป็นแนวๆ ไป หนังสือแนวนวนิยายอะไรประมาณนี้ ฉันไม่ค่อยแตะเท่าไหร่หรอกค่ะ บางคนว่าสนุก แต่สำหรับฉันอ่านแล้วมันเบื่อน่ะ เปิดไปไม่กี่หน้าก็ปิดแล้ว ฉันชอบอ่านหนังสือท่องเที่ยว พวกสารคดีมากกว่า แล้วก็หนังสือแนวชีวิตหน่อยๆ ชีวิตจริงที่เราสามารถประสบพบเจอกับมันได้ นอกจากนี้ยังชอบอ่านหนังสือที่มีข้อคิดเยอะๆ ออกแนวล้มต้องลุกน่ะค่ะ อ่านแล้ว กำลังใจมันมาทุกครั้งไป


หนังสือบางเล่มอ่านแล้วติดนะคะ ติดซะหนึบเลย ได้อ่านทีไร วางไม่ลง

::เพื่อน::


เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ฉันรู้สึกแย่มากๆ ในเรื่องของการเรียน และเรื่องเพื่อน ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฉันจะรู้สึกแย่ใน 2 เรื่องนี้อย่างนี้


คนทุกคนต้องมีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนสนิท เพื่อนรัก เพื่อนในกลุ่ม เพื่อนข้างบ้าน และเพื่อนในแบบต่างๆ ที่ต่างกันไป


ฉันไม่ได้มีเพื่อนมากนัก ฉันให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าจำนวนตัวเลข ดังนั้นช่วงชีวิตที่ผ่านมา มีเพื่อนที่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายชีวิตของฉันไม่มากมายนัก


พวกเราเดินกันมาในเส้นทางสายชีวิต ผ่านเส้นทางมามากมาย ทั้งราบรื่น และขรุขระ แต่เมื่อเส้นทางถึงทางแยก พวกเราตัดสินใจที่จะแยกกันเดินไปตามเส้นทางสายชีวิตของตัวเอง หลังจากที่กอดคอ สร้างความเข้มแข็งให้กันและกันมานานพอสมควร


หลังจากที่เราแยกกันเดินไปทางของแต่ละคนแล้วเหตุการณ์ร้ายๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย บางเหตุการณ์ฉันไม่สามารถจะรับมือกับมันได้คนเดียว ฉันยังต้องการเพื่อนมาคอยเป็นกำลังใจ มาช่วยคิดหาทางออก มันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันยังอ่อนแออยู่ ถ้าฉันยังต้องการจะเดินต่อไป ฉันต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน ต้องสู้มากกว่านี้


หลายปีที่ผ่านมา มันเป็นภาพที่ชินตาที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เวลาไหน จะมีเพื่อนคนนี้อยู่ข้างๆ เสมอ แต่วันนี้มันไม่ใช่ ไม่มีเค้ามายืนอยู่ข้างๆ อีกแล้ว ช่วงที่ผ่านมา เหมือนว่าฉันยังทำใจยอมรับกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ ต่อจากนี้ไป จะไม่มีภาพที่เคยชินอย่างเก่าอีกแล้ว พอคิดมันก็รู้สึกแย่ ว้าเหว่ วังเวง


แต่ในวันนี้ ฉันกลับมาเป็นคนเก่าแล้ว ไม่รู้สึกแย่เหมือนวันวานที่ผ่านมา กลับมาเดินได้อย่างมั่นคงกับสองขาที่เข้มแข็งของฉันได้แล้ว ไม่ใช่ว่าฉันทำใจได้ หรือรู้สึกชาชินกับเรื่องที่ผ่านๆ มาหรอกนะ แต่ฉันเข้าใจแล้วตังหากล่ะ ว่าเพื่อนยังไงก็ยังเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะห่างกันมากถึงเพียงไหน ถ้ามิตรภาพที่เราให้กันยังคงอยู่ มันก็จะยังคงอยู่ตลอดไป


 ถึงแม้พวกเราจะเจอกันน้อยลง คุยกันน้อยลง แต่นั่นไม่ใช่ว่าเราแคร์กันน้อยลง รักกันน้อยลงซะหน่อย พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ยังคุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนเก่า ทุกอย่างยังเหมือนที่เคยเป็นเมื่อวันวาน และก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
 

::เวลากับการตัดสินใจ::


หลายวันที่ผ่านมา ฉันได้นั่งคิด นั่งทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต และอีกหลายๆ เรื่อง


เรื่องบางเรื่อง เมื่อเรามีเวลามาก เราก็สามารถที่จะตัดสินใจได้ดี แต่บางที เวลามีเวลามากๆ ให้นั่งคิด นั่งตัดสินใจ ผลสุดท้ายอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่า คำตอบที่ต้องการจริงๆ มันคืออะไร


สำหรับฉัน ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบใช้เวลามากๆ ในการตัดสินใจ เหมือนว่า ถ้าฉันมีเวลามากๆ แล้ว มันยิ่งกดดัน เหมือนโดนบีบ มันยิ่งทำให้รู้สึกแย่ และถ้าสิ่งที่ฉันตัดสินใจไปแล้วออกมาไม่ได้ดั่งหวัง มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บช้ำไปมากกว่าเก่า


แต่การมีเวลาน้อยนิดใช่ว่าจะดีเสมอไป มันทำให้ฉันไม่รู้สึกกดดันมากก็จริง แต่ฉันก็ไม่สามารถรู้เลยว่า สิ่งที่ฉันไม่ได้นั่งคิด นั่งไตร่ตรองให้ดีเนี่ย ผลจะออกมาเป็นหัวหรือก้อย ถ้าออกมาเป็นหัวก็รอดตัวไป แต่ถ้าออกมาเป็นก้อยล่ะจะทำยังไง เพราะครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว กับการตัดสินใจในเรื่องนี้ของฉัน