::บทบันทึกหน้าสุดท้าย::


วันเวลาหมุนผ่าน 365 วันที่ดูเหมือนเนิ่นนานกลับเดินทางเร็วดั่งลมพายุ อาจจะเพราะฉันประมาทเกินไปในการเดินทางรอบปีนี้

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี หลังเสียงตะโกนก้องร้องดีใจต้อนรับปี 2553 จบลง น้ำตาของฉันไหลพรากและไม่สามารถนอนได้เลยตลอดคืนนั้น มันไหลออกมาจากความกดดันที่มีต่อตัวเองในเรื่องอนาคต เหมือนสัญญาณเตือนภัยอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจ


ปลายเดือนเมษายน ฉันได้งานทำ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลากหลายอย่าง ตื่นเช้าขึ้น มีสังคมมากขึ้น มีความอดทนอดกลั้นมากขึ้น รู้จักใช้เวลาให้คุ้มค่ามากขึ้น และที่สำัคัญฉันรู้ว่างานประเภทนั่งโต๊ะ มีเพื่อนเป็นคอมพิวเตอร์และกระดาษไม่ใช้งานสำหรับฉันเลย


ต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อนร่วมเดินทางคนสำคัญของฉันเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ นี่เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สำคัญที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่พิสมัยการใช้ชีวิตในปีนี้ กลางเดือนพฤษภาคม ได้ไปเที่ยวกับญาติพี่น้องครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตัวฉันประทับใจมาก เป็นการเดินทางที่ดีเลยทีเดียว


ปลายเดือนพฤษภาคม ไปเกาะล้านกับเพื่อนสนิท สนุกแต่ไม่สุด อย่างไรก็ตาม การไปครั้งนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า การที่คนเรามัวหมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา อาจจะทำให้เราพลาดอะไรดีๆ ที่มาจากความไม่สมบูรณ์แบบไปได้เช่นกัน อย่ามัวแต่ทำตามแผนที่วางไว้ ปล่อยๆ มันไปบ้างอาจจะสนุกกับชีวิตมากขึ้น เพราะคนเราไม่สามารถกะระยะการก้าวย่างในแต่ละครั้งให้เท่ากันได้เสมอไป


ช่วงกลางปี ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่กำลังเสียศูนย์สุดๆ ในปีนี้ ฉันไม่สามารถจำจดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีบทบันทึกอื่นใดนอกจาก 2 ไดอารี่ที่ถูกบันทึกไว้ในที่แห่งนี้ ฉันว่าอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปีนี้ไม่น่าพิสมัยเลย คือการไม่จดบันทึกเรื่องราวระหว่างของฉันเอง :(


เดือนพฤศจิกายน ฉันได้คำตอบให้กับตัวเองว่าฉันขอเลือกที่จะเดินทางกลับคืนรัง ใช่, ดอกไม้สองข้างทางที่นั่นสวยงามเมื่อแรกเห็น แต่เมื่ออยู่ไปฉันกลับเห็นแต่ความเหี่ยวเฉา กลีบดอกร่วงหล่น แม้ฉันจะหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดูแลเอาใจใส่ ทว่ามันก็ไม่สามารถกลับมาสวยงามเหมือนแรกเห็น เป็นไปได้ว่าคนอื่นอาจจะดูแลมันได้ดีกว่าฉัน


เดือนธันวาคม กลางเดือนฉันเก็บของและิมิตรภาพที่ดีที่เกิดขึ้นกลับคืนรังอย่างที่ตัดสินใจไว้ ไม่คิดว่าจะรู้สึกโหวงเหวงใจได้ขนานนั้น แต่มันก็เกิดขึ้น อาจจะเพราะสิ่งที่ได้รับมันมากกว่าสิ่งที่ฉันได้ให้ก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละที่ฉันรู้สึกถึงความเสียใจ แต่ก็เอาเถอะ เพราะสุดท้ายแล้ว ฉันได้กลับมาทำหลายๆ สิ่งที่ไม่มีโอกาสได้ทำตลอดปีที่ผ่านมา มีเวลาได้คิดและไตร่ตรอง ได้ตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ


2553 เดินทางน้อยมาก แต่ได้ถ่ายรูปมากขึ้น จดบันทึกน้อยมาก แต่เพ้อฝันมากขึ้น มีเวลาน้อยมาก แต่เข้าสังคมมากขึ้น คิดมากและเครียดมาก แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองยิ้มมากขึ้น เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่เหมือนความเป็นตัวเองโดนกลืนไปมากขึ้น หาเงินได้มาก แต่ก็ใช้เงินมากขึ้นเช่นกัน


2554 หวังว่าเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นจะไม่แย่ไปกว่าปีนี้ จะพยายามปรับปรุงตัวเองในหลายๆ เรื่อง หรืออย่างน้อยก็จะไม่ทำตัวให้แย่กว่าปีที่ผ่านๆ มา :)


ณ ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงสำหรับปีนี้ ใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขนะคะทุกคน สวัสดีวันสุดท้ายของปีเสือค่ะ :D

::กลับคืนรัง::


สวัสดีวันเสาร์ วันที่ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ฉันได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ฉันรัก


เวลาเราร้างลาอะไรไปนานๆ พอได้กลับมาพบเจออีกครั้งก็มักจะดูเก้ๆ กังๆ ยังไงพิกล ที่หายไปหลายเดือนก็ไม่ใช่ไม่คิดถึงนะ แต่คิดถึงมากต่างหาก ไม่อยากจะอ้างว่าด้วยเวลาหรืออะไรก็ตาม เพราะสุดท้ายถ้าใจมันรักมันชอบ มันก็ต้องหาเวลามาพบปะเจอกันได้อยู่ดี ดั่งเช่นวันนี้ :)

หลายเดือนที่ผ่านมา ฉันได้ลองไปใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปแบบที่หากใครรู้จักฉันดีคงข้องใจไม่น้อยในสิ่งที่ฉันตัดสินใจทำ เลยผ่านมาจนถึงตัดสินใจทนมาถึงทุกวันนี้ แต่นั่นก็มันไม่ได้หมายความว่าตลอดไป


ฉันไม่มีตัวเลขไหนที่ชอบเป็นพิเศษ แต่ ณ เวลานี้ เลขเจ็ดช่างเป็นตัวเลขที่ดูสวยงามเสียเหลือเกิน มันน่าจะเป็นเลขมงคลและเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับฉันในตอนนี้ เจ็ดเดือน พอแล้ว พอกันที


ต่อไปนี้ ฉันจะโบกโบยบินกลับคืนรัง-รังที่ฉันโบยบินจากมา





ช่วงเวลาว่างที่ไม่ได้จับปากกาหรือแตะสัมผัสแป้นพิมพ์ร้อยเรียงเล่าเรื่องราว ฉันค้นพบว่าการกดชัตเตอร์ช่วยผ่อนคลายหลายหลายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่เพิ่งรู้ว่ารัก แต่กำลังจะบอกว่าฉันรักการถ่ายภาพมากกว่าเดิม มากจนใกล้เคียงกับการเดินทาง และการถ่ายทอดเรื่องราว ที่เป็นเรื่องบ้างไม่เป็นเรื่องบ้างผ่านอักขระทั้งไทยและเทศ แม้ภาพที่ออกมาไม่ได้สวยงามเลอเลิศ แต่แค่เราได้ทำในสิ่งที่ทำแล้วเราสุขใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?





เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ฉันไปงานเทศกาลละครกรุงเทพที่สวนสันติฯ อากาศดี โชว์สนุก ถ้าใครสนใจลองแวะไปกันนะ ยังมีถึงวันพรุ่งนี้ คาดว่าอาทิตย์นี้คนน่าจะเยอะกว่าอาทิตย์ที่แล้ว คนเยอะ แต่อากาศดี โชว์สนุก ก็สุขใจไปอีกแบบ





และถึงแม้จะไม่มีงานอะไร ฉันก็สุขใจทุกครั้งที่ได้พาตัวเองไปแถวนั้นอยู่ดี การยืนมองคลื่นน้ำพัดเข้าฝั่งก็เป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง การเห็นเรือน้อยใหญ่แล่นผ่านสายตานั่นก็ใช่ การที่นักเดินทางแบกเป้ใบโตเดินผ่านหน้าไป ก็เป็นแรงสูบฉีดที่ดีให้เริ่มออกเดินทางไปไหนสักแห่ง และแม้สิ่งที่เคลื่อนผ่านบนท้องถนนราชดำเนินจะดูวุ่นวายมากเพียงใด แต่ฉันก็ตกหลุมรักบรรยากาศเหล่านี้ทุกครั้งที่ได้ผ่านมา





บางสถานที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เชื่อไหมว่ามันมักจะมีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ในความไม่มีอะไรนั้นอยู่เสมอ คล้ายๆ กับฉากหน้าของหนุ่มสาวบางคนที่ดูแสนจะธรรมดา แต่ลึกๆ แล้วฉากหลังของความธรรมดาของผู้คนเหล่านั้น ก็มักจะซ่อนสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้ใครอีกหลายคนหลงรักได้อย่างไม่ยากเย็น


ต่อจากนี้ไป หวังว่าจะได้พบเจอกันบ่อยขึ้น : )

::ความงดงามถูกซ่อนเร้นอยู่ในทุกฤดูกาล::


ฤดูกาลฝนพรำเดินทางมาถึงอย่างแท้จริงแล้ว ฟ้าครึ้มๆ ลมพัดใบไม้ไหว เสียงฟ้าคำรามก้องกังวาน สายฝนค่อยๆ ร่วงหล่นจากฟ้ากว้าง นกน้อยใหญ่ต่างโผบินกลับรัง ผู้คนรีบเร่งหาที่กำบัง บ้างโชคดี-บ้างโชคร้าย


หลากหลายชีวิตเปรียบเปรยฤดูฝนนี้ดั่งอุปสรรคที่ขวางกั้น แต่เมื่อดอกไม้เริ่มร่วงหล่น สายฝนเริ่มจางหาย สายลมเริ่มเปลี่ยนทิศพัดมาทางทิศเหนือ และท้องฟ้ากว้างไม่อึมครึมอีกต่อไป เมื่อนั้นเราจะเห็นคุณค่าของฤดูฝนที่หลากหลายชีวิตเกลียดชัง


ทุกๆ ฤดูกาลมีความงดงามซ่อนเร้นอยู่ ไม่ว่าจะร้อน ฝน หรือหนาวก็ล้วนสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ทั้งสิ้น คงเหมือนกับคนเราทุกคนที่ต่างคนก็มีความงดงามเป็นของตนเอง

::Under Construction::


ปีที่ผ่านมาเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหลงทาง เลยมาจนถึงกลางปีนี้ ฉันก็ยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ แต่มาคิดๆ ดูอีกทีก็ว่าดีเหมือนกัน ณ เวลานี้ ณ ที่ตรงนี้ ฉันรู้เลยว่าฉันเองหลงมาไกล การที่ได้เจอผู้คนใหม่ๆ ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ไม่เคยปรารถนา ก็ยิ่งทำให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น มั่นใจในสิ่งที่ชอบมากขึ้น และรู้ว่าสถานที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของฉันจริงๆ


ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นั่นแหละว่า หากไม่เคยล้มจะลุกเป็นได้อย่างไร หากไม่เคยถูกขัดใจก็คงจะไม่ได้ลิ้มรสความพอใจจริงๆ


ฉันเชื่อว่าทุกคนมีบางสิ่งที่ต้องทำและรับผิดชอบ บางคนโชคดีหน่อยที่บางสิ่งที่ว่าคือสิ่งที่ฝัน แต่กับบางคน หากสิ่งนั้นไม่ใช่ความฝันของเราก็ไม่เป็นไร แค่เพียงอย่าละทิ้งฝันก็พอ ใช้วิธีลดเวลาให้กับความฝันลงสักนิด แล้วค่อยๆ ก่อฝันไปทีละหน่อย อาจไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้เหมือนคนอื่นเขา แต่สักวันเราก็จะได้เห็นรูปเห็นร่างของมันเหมือนกัน


และสักวัน ฉันก็จะเห็นรูปร่างของความฝันที่ฉันกำลังค่อยๆ ก่อขึ้นเช่นกัน "My dream is under construction" ;P


ช่วงนี้บ้านเมืองเราไม่ดีเลยเนอะ เหมือนจะดีขึ้นมานิดนึง แต่แล้วก็กลับกลายเป็นแย่ลงยกกำลังสอง พอกฎหมู่มันอยู่เหนือกฎหมายอะไรหลายๆ อย่างก็ยากที่จะจัดการ แต่ฉันก็เชื่อว่าทุกๆ อย่างมันมีระยะเวลาของมัน ขอเพียงแค่อย่าหยุดเดิน อย่าหยุดพยายาม อย่าสิ้นหวัง สักวันเราจะเห็นอะไรที่ดีขึ้นในประเทศของเราอย่างแน่นอน


การเปลี่ยนแปลงก็คล้ายๆ กับความฝันที่ฉันจะไม่ขอให้มันเป็นจริง แต่ฉันจะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นจริง ถึงแม้ต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม "Thailand is under construction"

::Alive::





I am still ALIVE ...
=)


::ผ่านพบมาหลงรัก::


จริงๆ ยังเหลือทริปแม่ฮ่องสอน-ปายอีกหนึ่งตอนด้วยซ้ำ นานนมมากเลยใช่ไหม ต้องใช้เวลารื้อฟื้นความทรงจำสักเล็กน้อย!! แต่วันนี้มาต่อทริปเชียงคาน-อุดรธานีให้จบก่อนดีกว่า : )

เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ การเดินทางไปไหนมาไหนเลยอยู่ที่ปาก โชคดีที่พนักงานในโรงแรมน่ารักและเป็นกันเอง พยายามช่วยเหลือบอกสถานที่เล่นที่กินให้รายละเีอียดดีเหลือเกิน โดยเฉพาะพ่อหนุ่มเบลบอยน่าตากรุ้มกริ่มช่วยบอกเส้นทางได้มาก และที่ๆ เขาแนะนำมาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ




ฉันเลือกที่จะนั่งรถสองแถวรอบเมืองแทนรถสกายแล็ป นอกจากราคาจะถูกกว่าแล้วยังทำให้ฉันเห็นสภาพบรรยากาศในตัวเมืองเต็มๆ นั่งรับลมเย็นไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่เร่ง เหมือนเป็นการนั่งรถรางชมตัวเมืองกรุงเทพฯยังไงยังงั้น หากแต่ดีกว่าตรงที่อากาศเย็นกว่า ผู้คนน้อยกว่า รถราไม่มากเท่า ซึ่งทำให้ไม่ต้องสูดดมเขม่าควันเข้าไปเยอะเหมือนอยู่กรุงเทพฯ




ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฉันก็มายืนอยู่ที่สถานีขนส่งเก่าของที่นี่ ช่วงเย็นๆ อย่างนี้ทั้งผู้คนที่เตรียมเดินทางและผู้คนที่เพิ่งมาถึงเดินกันขวักไขว่กันเต็มไปหมด บรรยากาศโดยรอบก็ไม่ได้ต่างจากสถานีขนส่งอื่นๆ มากนัก ทุกบริษัทรถทัวร์ต่างพยายามหารายได้เข้ากระเป๋ากันอย่างขมักเขม้นเหมือนเดิม! ขากลับกรุงเทพ ฉันเลือกที่จะนั่งรถไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ามันอยู่ใกล้บ้านมากกว่าสถานีขนส่งหมอชิต แต่อยากจะบอกจริงๆ ว่าพนักงานบริการแย่อย่างถึงที่สุด เท่านั้นยังไม่พอ ผู้ร่วมเดินทางด้านหน้าก็ยังมารยาทแย่ไม่แพ้กัน ตอนเด็กๆ เขาอาจไม่เคยร้องเพลง "ความเกรงใจ"

ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี
ตรองดูสิทุกคนก็มีหัวใจ
เกิดเป็นคนถ้าหากไม่เกรงใจใคร
คนนั้นไซร้ไร้คุณธรรมประจำตัว


แต่ถึงแม้จะไม่เคยร้อง ความเกรงใจก็น่าจะอยู่ในจิตสำนึกของทุกๆ คนอยู่ดี :(




หลังจากเสร็จสิ้นการจองตั๋วรถทัวร์ ฉันก็เดินไปถามคุณน้าในร้านสะดวกซื้อว่าถ้าจะไปหนองประจักษ์ต้องนั่งรอสายอะไร แต่คุณน้าแนะนำว่าให้ฉันนั่งรถสกายแล็ปไปจะดีกว่า เพราะมันเย็นแล้ว รถไม่ค่อยวิ่ก็เลยทำตามที่เขาแนะนำ จำไม่ได้แล้วว่ากี่บาท แต่อยู่ราวๆ 40-60 นี่ล่ะ




หนองประจักษ์ เห็นปุ๊บฉันก็หลงรักปั๊บเลย มันเป็นหนองน้ำใหญ่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองอุดร แถวนั้นมีร้านอาหารให้เลือกมากมายหลายแบบ แต่ฉันสังเกตว่าคนอุดรฯรักสุขภาพ เพราะเห็นได้จากมีร้านน้ำผลไม้ปั่น และผลไม้สดเรียงรายเต็มไปหมด มื้อเย็นฉันเลือกที่จะกินจิ้มจุ่มเพราะดูแล้วท่าทางต้องอร่อยมากแน่ๆ และไม่ผิดหวังค่ะ ฉันยังติดใจอยากจะกลับไปจิ้มแล้วจุ่มอยู่เลย อ้อ! รวมถึงเอาเข้าปากด้วยนะ ;P เห็นว่ายังไม่ดึกมาก ก่อนกลับเข้าที่พักเลยได้เดินเล่นรอบๆ หนองประจักษ์ และยังไม่ลืมที่จะเดินไปถามร้านกาแฟเล็กๆ แถวนั้นถึงเวลาเปิด-ปิด เพราะตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นคงจะไม่ไปไหน จะมานั่งๆ นอนๆ เขียนโปสการ์ด ถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศอยู่แถวนี้นี่แหละ 






คืนนั้นจำได้ว่าหลับเป็นตาย มีความสุขอย่างถึงที่สุด เช้าวันรุ่งขึ้นเลยแจ่มใส หน้าตาผุดผ่อง อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฉันเป็นคนที่ชอบสวนสาธารณะ ถ้ามีโอกาสก็มักจะไปนั่งๆ นอนๆ อยู่บ่อยๆ พอได้มาเชยชมสวนสาธารณะในฝันแบบนี้ก็เลยปลื้มเป็นพิเศษ หลายชั่วโมงที่นั่งๆ เดินๆ วนรอบหนองประจักษ์นั้นไม่เบื่อเลย ถ้าแถวบ้านมีสถานที่แบบนี้บ้างก็คงจะดี ฉันคงมาเดินเล่นทุกวัน






มองไปมองมาดวงตาคู่น้อยๆ ก็ไปบรรจบวัดๆ หนึ่ง ชื่อวัดโพธิสมภรณ์ซึ่งสวยสมกับเป็นวัดหลวง พอดีมีรูปท่านเจ้าอาวาสแปะอยู่บนบอร์ดกิจกรรมของทางวัด ท่านเจ้าอาวาสดูใจดีมากเลย ตอนยืนดูรูปก็อดยิ้มไม่ได้ : )






ตลอดระยะเวลาเกือบอาทิตย์จากกรุงเทพ-เชียงคาน-อุดรธานี ฉันมีความสุขมาก แม้จะเหนื่อย จะล้า จะตกใจ หรือเสียใจในบางเหตุการณ์ บางสถานที่มันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แล้วกลับแฝงเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอยู่ภายใต้ความธรรมดานั้น คงจะเหมือนคนเรานี่ล่ะ ที่ภายนอกอาจจะดูไม่น่าสนใจนัก แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกัน ได้ฟังเรื่องราวในตัวของเขา เราจะพบว่าเราได้หลงเสน่ห์เขาจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว






อวสานแล้วค่ะ ;P


ขอบคุณสำหรับทุกๆ คำอวยพรในวันปีใหม่
ขอบคุณสำหรับทุกๆ โปสการ์ดและจดหมายที่ส่งมาให้นะคะ
มันคือของขวัญต้อนรับปีใหม่ที่มีค่ามาก

=)

::Try Try Try::





T-R-Y
Oh baby we can fight like dogs we can fight like cats
a dirty laundry needs a laundry man
Maybe the king and the queen should lay off the caffeine
Baby breathe before you react

Sometimes we do forget to behave
and we regret what we say
cause words are too weapons
If we don't choose'em carefully
ladies and gentlemen this is instrumental
if life's to be a bed of roses

I know I gave you everything you like
because you still give me butterflies

if we just try try try
just to be ni-ni-nice
then the world would be a better place for you and I
if we just live our lives
putting our differences aside
oh that would be so beautiful to me

Are we just dangling in the middle of a galaxy
Well i'm stoked on gravity
To be stuck with you like flowers on the dew drops
Now let it in my direction
My direction is up when everybody's down
cause i don't mind being anybody's clown
I love a little lift cause i'm an optimistic
In an altruistic way

Cause basically this place is needing instruments of harmony
Spreading my philosophy of love and inspiration
Oh these words I speak I commit to like a crime
with a rhythm i deliver i'm giving them a picture
of the reasons why

We should just try try try
Just to be ni-ni-nice
So the world could be a better place for you and I
If we just live our lives
Putting our differences aside
Oh that would be so beautiful to me

well it wouldn't cost a penny but could save so many lonely lives
from teary eyes
if we just try try try
to open up a can of understanding open up your heart
i'm just planting seeds
cause i believe

We could just try try try
Just to be ni-ni-nice
So the world would be a better place for you and I
If we just live our lives
Putting our differences aside
Oh that would be so beautiful to me

if we could try, just to be nice
that could be so beautiful to me
I believe,
Oh that could be so beautiful to me