เรื่องเล่าวันฟ้าหม่น 001



หก ธันวาคม สองพันห้าร้อยห้าสิบเจ็ด
เมลเบิร์น
เมื่อวานนี้

"เสียงคลื่นซัดสาด มองเห็นไกลสุดขอบฟ้า 
มีทะเลทุกเวลาแต่บางทีไม่มีเธอ 
คลื่นซัดหาฝั่งเหมือนใจร่ำคร่ำครวญหา 
จากกันไปตามเวลา จากกันให้เธอสุขใจ"

หลังจากสวมกอด บอกลา และแยกย้ายกับจิงแถว Fitzroy แล้ว ฉันเดินรับลมลัดเลาะไปตามถนน Brunswick มาจนถึงแยก Victoria Parade ตั้งใจว่าจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับบ้าน

ทุกเมืองใหญ่ก็คงไม่ต่างกันมากซึ่งเมลเบิร์นก็ไม่ใช่เมืองที่ถูกยกเว้น เวลายามเย็นหนุ่มสาวน้อยใหญ่ต่างเร่งฝีเท้าเดินทางกลับบ้าน บ้านที่อบอุ่น บ้านที่ดูเหมือนว่าอบอุ่น บ้านที่ความอบอุ่นอาจเคยมีในวันเก่าก่อน หรือแม้แต่บ้านที่ความอบอุ่นไม่เคยได้ย่างกายเข้ามาชิดใกล้ บ้านในนิยามที่หมายถึงที่พักกาย บ้านในนิยามที่หมายถึงที่พักใจ

ระหว่างที่ฉันกำลังคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในนิยามคำว่าบ้าน รถรางสาย 109 ก็มาจอดตรงหน้าพอดี ฉันจึงเปลี่ยนใจไปที่ๆ ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นบ้านที่ช่วยเติมความอบอุ่นให้หัวใจในเย็นวันศุกร์ที่ท้องฟ้าหมองหม่นอย่างเช่นวันนี้

Port Melbourne คือสถานีปลายทางของรถรางสายนี้ ใช่, ฉันมาทะเลในวันที่ฟ้าครึ้ม ลมโหมพัดแรง และดูท่าแล้วฝนก็กำลังตั้งเค้าอยู่ไม่ไกล ประหลาดหรือ? ไม่เลย ฉันแค่เป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่ชอบทะเลหน้าฝนและรักทะเลหน้าหนาวก็เท่านั้นเอง

หนาว คือความรู้สึกที่รับรู้ได้ระหว่างเดินริมหาดมาเรื่อยๆ ไม่นานฝนก็เริ่มโปรย แม้ไม่หนักถึงขนาดต้องหาที่หลบ แต่มันก็ทำให้ฉันเปียกปอนอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน

ฝนก็เหมือนอารมณ์คน เธอว่ามั้ย? เธอลองสังเกตดูสิ ฝนน่ะมันอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป คล้ายกับอารมณ์ของคนเราที่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ดูอย่างตอนนี้สิ จู่ๆ ฝนก็หยุดตกเสียอย่างนั้น แล้วอารมณ์ของฉันก็จมดิ่งสู่ห้วงความคิดถึงใครบางคนขึ้นมาเสียดื้อๆ 

ใครบางคนที่ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร หรือใครคนนั้นจะเป็นเธอ ใช่เธอหรือเปล่า หื้ม?

ที่จริงวันนี้ฉันมีเรื่องเล่าอีกเยอะแยะเลย แต่สงสัยจะดื่มน้ำเยอะไปหน่อย แถมทานไอศครึมมาด้วย ขอไปเดินหาห้องน้ำก่อนนะ แล้วว่างๆ จะมาเล่าให้ฟังใหม่

รักษาสุขภาพด้วยนะ คิดถึงเสมอ
ฉันเอง

::วันแรก เดือนสุดท้าย สองพันห้าร้อยห้าสิบเจ็ด::



เป็นหนึ่งปีในช่วงระยะหลังที่ไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรกระทบจิตใจ ในทางกลับกันนี่ก็เป็นหนึ่งปีในช่วยระยะหลังที่เราไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน ไม่ค่อยได้หยิบกล้องถ่ายรูปออกมากดชัตเตอร์เก็บเรื่องราวระหว่างเส้นทางชีวิตดั่งใจหวัง แต่เหนือสิ่งอื่นใดปีนี้ก็มอบโอกาสให้เราได้เรียนในสิ่งที่อยากรู้ ได้รักในสิ่งที่ลงมือทำจริงๆ เสียที 

หลายวันมานี้เราโหยหาหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำ หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยผ่านเข้ามา เราโหยหาความรู้สึกที่บีบคั้นทางอารมณ์ที่เราเคยเผชิญและก้าวผ่านมันมาได้ ปีนี้มันไม่ทุกข์ แต่ก็สุขได้ไม่สุด หรือเราอาจจะยังไม่ชิน ทุกปีที่ผ่านมาความรู้สึกมันต้องถูกบีบคั้น รวดร้าว เราจะรู้สึกถดถอยและท้อแท้ เราอาจดูเหมือนคนเข้มแข็ง แต่แท้ที่จริงเราแพ้ง่ายกว่าที่ใครหลายๆ คนจะเชื่อ แต่เราไม่ได้แพ้ให้กับทุกเรื่อง อย่างน้อยในเรื่องที่ส่งผลต่อความต้องการภายในจิตใจ เราไม่เคยนิ่งเฉย เราไม่เคยไม่คิดสู้ 

แต่ปีนี้มันง่ายไป อะไรหลายๆ อย่างได้มาง่าย มันง่ายจนเรากลัวว่าเราจะลืมความยากลำบากที่เคยพานพบ ชีวิตเราเคยเป็นดั่งใจหวังเสียทีไหน เรื่องความรู้สึกจิตใจนี่ก็สำคัญมากสำหรับเราเสียด้วย

เรารู้และเข้าใจดีว่าไม่มีอะไรคงที่ถาวร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปสิ่งหนึ่งที่เรายังคงหวาดกลัวเสมอคือการถูกกลืน เรากลัวว่าเมื่อลมพายุพัดมาแรงมากๆ ใจเราจะต้านทานมันไม่ไหว เรากลัวว่าสักวันเราจะถูกกลืนไปกับสังคมและผู้คนที่เราเคยตราหน้าไว้ว่าเราจะไม่มีวันเป็นอย่างพวกเขา เรากลัวว่าสักวันความศรัทธาในสิ่งที่เรารักและสิ่งที่เราเป็นจะไม่แรงกล้าเท่ากับวันนี้ เรากลัวว่าสักวันความภูมิใจในตัวเองจะลดน้อยถอยลงจนไม่เหลือเลย เรารักตัวเองมาก และเราก็กลัวใจตัวเองมากด้วยเช่นกัน 

เราพยายามเตือนตัวเองเสมอว่าแม้เราจะเดินทางอย่างโดดเดี่ยวในหนทางที่เลือกเดิน แม้เราจะไม่มีจุดหมายปลายทางที่ตายตัว แม้เราจะไม่มีแผนที่ในมือบอกเส้นทางที่ชัดเจน แต่เราก็มีเรื่องราวต่างๆ มีผู้คนที่พบเจอระหว่างทางเข้ามาช่วยขับกล่อมให้คลายเหงา แม้ไม่ได้มากมากเท่าไหร่ แต่ก็พอมี 

ความฝันมีพลัง
แรงบันดาลใจก็มีพลัง
จิตใจความรู้สึกนี่ตัวส่งพลังเลยล่ะ

::ผืนป่าบ้านเรา::



♬ กว่าต้นไม้สักต้นจะเติบโตขึ้นมา
ต้องใช้เวลาสักเพียงไหน
กว่าต้นไม้งอกงามจนหยั่งรากผลิใบ
ต้องอาศัยดินน้ำและสายลม
กว่าต้นไม้หลายต้นจะรวมกันเป็นป่า
ต้องใช้เวลาสักเพียงไหน
แหล่งดำรงสายพันธุ์ให้ชีวิตน้อยใหญ่
อยู่อาศัยร่วมกันอย่างร่มเย็น 


เราพาตัวเองไปทะเลบ่อยก็จริง แต่หัวใจของเราแท้จริงถูกซ่อนอยู่ในขุนเขาน้อยใหญ่
เรารักทะเล แต่ก็รักทะเลไม่เท่าผืนป่า โดยเฉพาะผืนป่าบ้านเรา

::Dear Tao::


This is Tao, my closest cousin. She is the one who knows me very well. And at this point, I would like to thank her that she never feel annoyed with who I am. Or maybe she does. Anyway, she is very kind person. She is a good listener. And absolutely, she is my brain.

After living in the US for 4 years, she's already decided to go back home for a break. I was pretty surprised when she told me because it seemed like she has lived in the US happily. She has a good job, a good companion to hang out with, a good boyfriend whom she can rely on. Everything looks perfect, right? But a visa problem ruined everything. However, it is good for her to take a break, to spend time with family and friends.

I am going back home in the beginning of December either, to celebrate my mom's birthday, renew passport and visa, see dentist, and spend some precious time with family, dogs, and friends.

These days, I feel so tired and bored for no reason. I should enjoy my free time. I should go out and take pictures. I should go somewhere faraway from the city before I leave. I should do this and I should do that, but I do nothing eventually.

Perhaps, it is because of weather.
Perhaps, it is because of society.
Perhaps, it is because of places.
Perhaps, it is because of money.
Or perhaps, it is because of myself.

And every time when I can't find out the answer for this kind of question, mom and Tao are two people whom I always think of.

::Be Good::


 
 
 Ohhhh my goshhhhh!!!!!

Emily makes me fall in love with this song. And honestly, by seeing this music video, I love her more than I expected. She has good voice, pretty face, nice body, cool style, cheerful smile, and cute dance.

And yeah, we will be good.

::ศุกร์สบายพอสมควร::



ไม่ว่าจะรัก
ไม่ว่าจะเศร้า
ไม่ว่าจะเหงา
ไม่ว่าจะเกลียด
หน้าตาคือหน้าต่างของความรู้สึกสำหรับคนอย่างเรา

เราดีใจที่เป็นคนที่มีความสุขกับอะไรง่ายๆ

แค่ได้นั่งรถไฟเล่น ได้ไปในที่ๆ ไม่เคยไป
เห็นภูเขา เดินชมสวน ตีหลังกา ดูหมาวิ่งเล่น
ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ ฟังเสียงคลื่น ถ่ายรูปเล่น
กินไอติม เจอคนที่ไม่รู้จักกันส่งยิ้มให้
แค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกดีมากแล้

จริงๆ ชีวิตก็คงต้องการแค่นี้
สุขสร้างกำลังใจ
ทุกข์เสริมความแข็งเกร่ง

คลุกเคล้า
หมุนเวียน
ผัดเปลี่ยน
ไปเรื่อยๆ

::Elwood Beach::



Elwood Beach is one of the beaches here in Melbourne where I had wanted to go for a while. Eventually, I went there yesterday after a year living here. 

It is a place where buses are only a public transportation to get there. I planned to take a tram no.16 in front of my house, then changed to bus no.606 at St Kilda. However, there was a truck accident that caused tram stopped working. So I changed to take a train from Glenferrie to Richmond station and switched to Sandringham line and jumped off at Elseternwick station and then took a bus back to Elwood. 

Even though it was a little bit too hot for me, but I can say the weather was really good yesterday. The sky was very clear and beautiful.  

For me, I prefer this beach to other two near famous beaches. Perhaps, it is because it is not crowded and there is a big park I can walk and play around. Particularly, the viewpoint at Point Ormond is real good. 

I love walking and it is very good to have a friend here who loves the same. Instead of taking a bus to St kilda, we chose to walk as it is only 2 kilos apart. It was another walk to remember. 

::Smile Because You Can::



When I take pictures of people, I'd prefer them to smile in front of my camera.
And when someone take picture of me or even I take picture of myself, I'd prefer to smile too.

I smile because I can.
And you too.

This Is Who I Am


 



Two weeks ago, I filmed a short video about misunderstanding theme. I have to thank you my teammates, Aae and Som-O that they brought their friends to help us. Particularly, Foong who played as the lead actor and Tor who was a cinematographer in that day. I think we did pretty well. Only voice recording was an issue.

This filming made me realize that I can't be everything at time. And sometimes it's okay to be like that. It's better if I do what I'm good at. It's photographer and editor, not cinematographer.

::ก้าวเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่เกินตัว::




ยิ่งโต จุดมุ่งหมายในการเดินทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เราไม่ได้หมายความว่าเรารักสบายมากขึ้น
เรายังคงชื่นชอบการผจญภัยในที่ๆ ทุระกันดาร
ยิ่งไปยาก ยิ่งหายาก ยิ่งได้มายาก มันยิ่งท้าทาย
เราไม่ชอบนอนโรงแรมติดดาวมากมาย
ไม่ชอบไปในที่ๆ ดูไฮโซหรูหรา
ไม่ชอบที่ต้องแต่งตัวและทำตัวให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา
เราเขิน เราอาย เราอึดอัด เราทำตัวไม่ถูก

เราคุ้นชินกับการนอนโรงแรมน้อยดาว นอนโฮสเทลถูกแต่ดี
ชอบไปในที่ๆ ไม่ต้องเก็บกริยามารยาท
อยากหัวเราะเสียงดังก็ไม่ต้องหันไปมองว่ามีใครจับตาดูอยู่รึเปล่า
ชอบแต่งตัวธรรมดามากๆ แต่มันคล่องตัวในการบุกป่าฝ่าดง
เรารู้สึกคุ้นเคย คุ้นชิน และเป็นกันเองกับสถาณการณ์แบบนี้มากกว่า

ที่เราบอกว่าเปลี่ยน
เราหมายถึงเราให้ความสนใจกับคนท้องถิ่นมากขึ้นกว่าเดิม
เรารู้สึกได้ว่าเราให้ความสำคัญกับภูเขา ทะเล แม่น้ำ น้ำตก ตึกราบ้านช่องน้อยลง
ใช่ มันสวย มันทำให้เราตื่นตาตื่นใจ เดินมาห้ากิโลฯ สิบกิโลฯ แล้วเห็นมันก็ยังรู้สึกหายเหนื่อย
แต่วิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในถิ่นต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็สะกิดอะไรในใจเราไม่น้อย
เรายังคงชื่นชอบธรรมชาติ ยังคงขวนขวายที่จะเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปเจอน้ำตก เทือกเขาสวยๆ
ยังคงขวนขวายที่จะเดินทางข้ามทะเลเพื่อไปเกาะน้อยใหญ่ ที่สงบเงียบ
ส่วนสิ่งที่เพิ่มมาในทุกวันนี้คือเราสามารถเดินชมความขวักไขว่ในตัวเมืองต่างๆ ได้อย่างสนุกสนาน
อาจจะเป็นเพราะเราปรับตัวและเปิดใจกว้างในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้น

เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน
หากสิ่งที่เปลี่ยนทำให้เราอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างสบายใจและมีความสุขมากขึ้น

มีความลับอยากจะบอก เราเขียนบันทึกนี้เพื่อกระตุ้นต่อมเดินทางให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
มันเฉา มันเหงา มันวังเวง มันไร้ความตื่นเต้น มันไม่ใช่น่ะค่ะ ไม่ใช่!!!!

ขอให้ต่อมกระหายในการเดินทางจงสิงสถิตย์ในใจลูกอีกครั้ง สาธุ
สาวน้อยตาพระจันทร์เสี้ยว (ทำอะไร ไปไหน อย่าลืมลืมตา - เสียงไกลๆ จากเดนเวอร์)

::To Celebrate World Cup::





I really love his idea. Superb!!!

::Rip Curl Pro Bells Beach 2014::




แม้การศึกษาคือเหตุผลหลักของการย้ายถิ่นฐานชั่วคราวมาออสเตรเลีย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวของการเดินทางมาที่นี่ เรายังคงตั้งมั่นในการเดินทางรอบประเทศที่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของโลกแห่งนี้ เรายังพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นชิน เราพร้อมที่จะคว้าทุกโอกาสที่พุ่งเข้ามา เฉกเช่นเดียวกับการลองผจญภัยในเส้นทางแปลกใหม่

Easter Saturday ที่ผ่านมา เรานั่งรถไฟจากบ้านผ่านตัวเมืองเพื่อเดินทางไป Geelong ต่อรถประจำทาง และกระโดดขึ้นรถ free shuttle bus มุ่งหน้าสู่ Bells Beach สถานที่แข่งขันเซิร์ฟระดับโลกโดยมี Rip Curl Pro เจ้าภาพ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 53 แล้ว

เราไม่แน่ใจนักว่าเราสนใจกีฬาชนิดนี้มานานมากเท่าไหร่ เราเพียงรู้ว่ามันค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในใจเราทีละเล็กทีละน้อยในช่วงวัยเยาว์ และพุ่งพรวดโจนทะยานในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา  

เนื่องจากวันพฤหัสและศุกร์สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ทั้งสองวันกลายเป็น lay day ของการแข่งขัน เช้าตรู่วันเสาร์เราจึงตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อเช็คโปรแกรมการแข่งขันให้ แน่ใจว่ามัน on หรือ off ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เป็นใจ การแข่งขันเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ระหว่างแต่งตัวเราก็ดูถ่ายทอดสดไปด้วย Nat Young หนึ่งในนักเซิร์ฟคนโปรดของเราก็ทำได้ดีในรอบนั้น แม้วันนี้จะตกรอบสามไปแล้วก็ตาม

จากบ้านที่ Glenferrie เรานั่งรถไฟไปลงที่ Southern Cross สถานีรถไฟที่มีกลิ่นอายของหมอชิตใหม่ลอยอยู่จางๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการรถไฟ V/Line (ไป-กลับ $15.68) เราชอบบรรยากาศระหว่างทางมาก มีแต่ทุ่งนา มองแล้วสบายตาสบายใจ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ใจเราย้ำเตือนให้ตัวเรารู้ว่าถึงแม้เราจะเกิดในเมือง ใหญ่แต่ตัวตนของเรากลับไม่ใช่คนที่สามารถทนทานกับความวุ่นวายแบบนั้นได้นาน นัก

หนึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินเราก็มาถึง Geelong เราต้องรีบออกจากสถานีเพื่อสอดส่องที่จอดรถประจำทางสาย 74 Geelong-Torquay-Jan Jac (ไป-กลับ $4) หากใครเดินออกทางเข้าออกหลักก็จะเจอที่จอดรถประจำทางอยู่ตรงหน้าเลย แต่หากใครออกประตูเล็กเหมือนเราก็เดินตรงแล้วมองขวาไว้ ไม่ไกลเลยเราก็จะเห็นรถประจำทางหลายสายจอดรอเราอยู่

คงเพราะเป็นวันหยุดยาวและประกอบกับที่สองวันก่อนงดการแข่งขัน วันเสาร์ที่ผ่านมาทั้งวัยรุ่นออสซี่และหลายเชื้อชาติต่างพากันมุ่งหน้าไปร่วมงาน หมุดที่ปักไว้ในแผนที่ในหัวแทบไม่ต้องใช้เพราะเมื่อถึงเวลาจริง พวกเขาลงที่ไหนเราก็ลงตามเขาไปนั่นแหละ

สี่สิบห้านาทีผ่านไป ผู้โดยสายค่อนรถลงที่ป้ายรถประจำทางเยื้อง Surf City ซึ่งเป็นที่จอดรถ free shuttle bus โดยรถจะออกทุกๆ ชั่วโมง แต่มีบริการเฉพาะช่วง long Easter weekend ที่ผ่านมาเท่านั้น หากวัดจากระยะทางที่ห่างกันไม่ถึงสิบกิโลเมตร เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง Bells Beach เพราะรถเยอะมาก นี่อาจจะเป็นการไปงานเทศกาลที่นี่ครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจขนาดนี้ ไม่สิ! อาจจะน้อยกว่า St Kilda Festival หน่อยนึง

รถลงปุ๊บก็เดินไปต่อคิวซื้อตั๋วเข้างาน แถวยาวมากแต่ไม่ใช้เวลานานอย่างที่คิด ถ้าใครมางานวันเดียวแบบเราค่าเข้าอยู่ที่ $8 ส่วนใครจะมาเกินสามวันก็ซื้อตั๋วแบบ festival pass $25 จะคุ้มกว่า ประเด็นอยู่ที่ลูกเด็กเล็กแดงไม่เกินสิบหกขวบ"ฟรี"

บรรยากาศในงานสนุกสนาน คนเยอะกำลังดี อากาศก็ไม่ได้เลวร้าย ลมพัดทีก็หนาว แดดออกทีก็ร้อน เผลอแป๊ปเดียวฝนก็พรำเม็ดเบาๆ นี่แหละรัฐ Victoria

เจอกันปีหน้าอีกนะ :)

::ความสวยงามของธรรมชาติไม่ต้องการเส้นกริด::




ทำไมคนเราต้องสร้างข้อแม้ให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากมาย

ทำไมต้องไปทะเลเพียงช่วงฤดูร้อน
ทำไมต้องไปเชยชมภูเขาเมื่อลมหนาวเข้ามาทักทาย
ทำไมเมื่อยามฝนโปรยถึงกลายเป็นช่วงเวลาตกต่ำของการเดินทาง

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตรงกันข้าม
ฉันพอใจและสนุกสนานกับการได้ออกเดินทางในฤดูฝน
แม้อะไรหลายๆ อย่างอาจดูขมุกขมัวไปหมด
แต่นี่แหละคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของธรรมชาติที่ใครหลายคนมองข้าม

ภูเขา น้ำตก และสายธาร
แม้จะดูแห้งแล้งในช่วงไร้ฝนและไม่โรแมนติกเท่าช่วงลมหนาว
แต่ลมร้อนที่พัดจางๆ ก็สร้างอีกหนึ่งบรรยากาศที่แปลกใหม่ให้กับผู้ที่ได้ไปเยือน

หาดทรายและท้องทะเลก็เช่นกัน
แม้ในวันฝนพรำหรือวันที่ลมหนาวทำงานอย่างแข็งขัน
แม้สีฟ้าครามสดใสของท้องฟ้าเบื้องบนและน้ำทะเลเบื้องล่างจะถูกลดทอน
แต่บรรยากาศสีเทาเบื้องหน้าก็ไม่สามารถทำลายความสวยงามของธรรมชาติได้อยู่ดี

::บันทึกไม่ลับในวันที่ไร้หยดฝนบนดอกหญ้า::


หากนี่คือวันอาทิตย์ในมหานครกรุงเทพ
ฉันคงหยิบหนังสือสารคดีท่องเที่ยวสักเล่มที่ยังอ่านไม่จบ
สมุดบันทึกเล่มเก่า ดินสอดีๆ สักแท่งใส่กระเป๋าสีน้ำตาลใบย่อม
สวมเสื้อยืดตัวเก่ง กางเกงขาสั้นคู่ใจ ใส่รองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดนัด
และถ้าอากาศดีแบบวันนี้ฉันคงคว้ากล้องถ่ายรูปคู่กายไปด้วยแน่ๆ

ทุกครั้งที่ฉันได้มีเวลานั่งคิดทบทวน
สิ่งแรกที่ฉันรู้และตระหนักได้ทุกครั้งคือกาลเวลาไม่เคยรอใคร
ห้าเดือนแล้วสินะกับการใช้ชีวิตในดินแดนใต้เส้นศูนย์สูตรแห่งนี้
มันเร็วจนน่าใจหาย มันเร็วจนฉันแทบไม่ได้ตั้งตัว
ไม่ง่ายเลยที่จะคว้าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาเก็บไว้

ฉันเคยคิดว่าฉันจะทำได้ดีกับการใช้ชีวิตที่นี่
แต่ความจริงนั้นกลับตรงกันข้าม ฉันตัดสินใจพลาดหลายครั้ง
ตกม้าตายในสถานการณ์ที่สมควรจะควบม้ากระโดดผ่านไปอย่างไร้ที่ติ
แต่นี่แหละ นี่แหละคือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าชีวิต

ฉันเรียนหนัก มันหนักมากสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจชีวิตในห้องเรียนอย่างฉัน
ห้าปีกับปริญญาตรีเทียบไม่ได้เลยกับการเรียนภาษาที่นี่
แต่นี่คืออีกหนึ่งทบเรียนชีวิตที่ฉันกำลังพิสูจน์ว่าหากฉันขยันและตั้งใจ
แม้ไม่ได้ดีเกินกว่าใคร แต่ฉันก็ทำได้ดีพอในแบบฉบับของฉัน

การแบ่งเวลาคือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากระยะเวลาห้าเดือนที่อยู่ที่นี่
ฉันใช้ชีวิตในห้องเรียนและไม่ลืมที่จะออกไปเก็บเกี่ยวชีวิตนอกตำรา
ผู้คน ภาษา และวัฒนธรรมต่างถิ่นสอนให้ฉันเปิดใจและเข้าใจโลกมากขึ้น
แม้ประสบการณ์เดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งที่ผ่านมาของฉันได้สอนหลายสิ่งอย่าง
แต่วันนี้ฉันกล้าบอกเลยว่ามันสู้ไม่ได้เลยกับการได้ลองใช้ชีวิตในดินแดนที่ไม่คุ้นชินอย่างจริงจัง

นี่คือวันอาทิตย์ในดินแดนใต้เส้นศูนย์สูตร
ฉันหยิบ The Kite Runner ที่อ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้า
ในขณะที่อีกมือมีสมุดบันทึกเล่มใหม่สีเขียว ปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน
สวมเสื้อยืดแขนยาว กางเกงขาสั้นคู่ใจ ใส่รองเท้าแตะหนีบที่ใกล้ลาโลกเต็มที
แม้วันนี้อากาศดีแต่ฉันก็เลือกที่จะเก็บภาพถ่ายในวันนี้ด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือ




แด่เธอ, พี่สาวผู้ที่อยู่ห่างไกลกันเกินครึ่งฟ้า
แด่เธอ, สาวเหนือผู้มาพร้อมรอยยิ้มสบายตา
แด่เธอ, หญิงสาวผู้หลงใหลในภาพถ่ายขาวดำ
แด่เขา, หมีหนุ่มที่เป็นมิตรที่สุดในจักรวาล

ด้วยรักที่มากมายและคิดถึงที่เกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย
กุญแจ : )

::ไม่จำนนใจ::




ไม่มีความหลังกับเพลงๆ นี้
แต่ไม่รู้ทำไมถึงรักมันเหลือเกิน


::It Is Supposed To Be A Rainy Friday::


ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังตามเวลาที่ตั้งไว้
เราเอื้อมหยิบมือถือดูเวลา เจ็ดโมงสิบเก้านาทีตามที่ตั้งไว้เมื่อคืน
กดปิด เลื่อนเวลา และนอนต่อตามสเต็ปเหมือนอย่างทุกวัน
 
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครึ้ง
เจ็ดโมงห้าสิบนาทีคือเวลาในจอมือถือ
เรานอนกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ปรากฏว่าหันซ้ายหันขวาได้ไม่มากนัก
เรานอนตกหมอน!

กลิ้งจนพอใจ
กระเด้งตัวลุกขึ้น
อาบน้ำ แต่งตัว
วันนี้มีนัดกับโซลิต้าและเพื่อนๆ ในเมือง

เก้าโมงสิบนาทีเดินออกจากบ้านพร้อมอากาศอึมครึม
แอนโทนิโอผิวปากเรียกตอนรอรถไฟที่สถานี
เราทั้งคู่สภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
เหมือนซอมบี้ที่โหยหาหมอน ที่นอน และผ้าห่ม
ก่อนรถไฟจะมาสองนาที อาเมียก็เดินมาสมทบ

Flinder Station คือสถานที่รวมตัว
เก้าโมงครึ่งคือเวลานัดหมาย
แอนโทนิโอ อาเมีย และเราไปถึงประมาณเก้าโมงสี่สิบห้า
แน่นอน, คนอื่นๆ ไปถึงกันแล้ว ยกเว้นโซลิต้า

ระหว่างนั่งรอโซลิต้า อนาเม้าท์เรื่องอาเมียให้ฟัง
เรื่องราวของอาเมียไม่ใช่แค่เรากับอนาที่สนใจ
ตอนทานข้าวกลางวันจอร์แดนกับแอนโทนิโอก็แอบเม้าท์มอยเรื่องนี้
เราทั้งหมดเหมือนจะได้ข้อสรุปอะไรบางอย่างที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน!

โซลิต้า ในที่สุดเธอก็มา
ว่าแล้วว่าโซลิต้าต้องพาพวกเราไปจิบกาแฟละเลียดเค้กที่ Brunetti
เราจิบลาเต้ และแชร์เค้กกับอนา

ACMI ดีเกินคาด เราชอบที่นี่แฮะ
สี่สิบห้านาทีสำหรับเรามันไม่พอ
เราสนใจทุกอย่างในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

โซลิต้าพาพวกเราไปทานข้าวที่ Lygon Street
จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อร่อยใช้ได้เลยล่ะ
แม้จะแพงไปหน่อยก็เถอะ

ระหว่างทาง
เราได้พูดคุยและเรียนรู้เพื่อนหลายๆ คนมากขึ้น

อนาคือเพื่อนคนแรกที่นี่ที่เรารู้สึกว่าเราคุยได้ด้วยความสบายใจ
ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ที่ต้องคอยดูแลน้อง
ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นน้องที่ต้องคอยเกรงใจพี่
เราชอบที่อนาเป็นคนใจกว้างมาก เปิดรับ และพยายามเข้าใจคนอื่น

ยิ่งพอได้คุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น เรารู้เลยว่าเราเอ็นดูแอนโทนิโอมาก
เวลามองหรือคุยด้วยก็มักจะมีภาพมาแจมทับซ้อนอยู่ลางๆ
แอนโทนิโอเหมือนเจ้าหนูจำไม อยากรู้ อยากเห็น ตลอดเวลา

เราเพิ่งรู้ว่าจอร์แดนชอบถ่ายรูปเหมือนกันกับเรา
จอร์แดนเป็นคนที่มีมารยาท จิตใจดี และนิสัยดีมาก
แม้จะชอบทำหน้าตาเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
แต่จริงๆ เป็นคนสนุกสนานและช่างเม้าท์ไม่ต่างจากแอนโทนิโอเลย

ถ้าเปิดใจให้กว้าง ธานีไม่ได้แย่อะไรนัก
เรากลับรู้สึกว่าธานีก็คุยสนุกและเป็นกันเอง
เราชอบเวลาธานีคุยกับแอนโทนิโอ
คล้ายๆ กับเวลาที่แป้งคุยกับแอนโทนิโอไม่มีผิด

ดิงช็อคไปเลยพอรู้ว่าเราอายุยี่สิบหก
ส่วนเราดีใจที่เขาบอกอายุจริงของเขาให้เรารู้
ไม่ได้โกหกเหมือนเวลาเขาบอกคนอื่น
ดิงอายุยี่สิบแปด

สตรองก็คือสตรอง
เป็น the greatest chinese guy on earth สำหรับเราเสมอ

ไรอันหมกมุ่นกับการหารงานพาร์ทไทม์
เราว่าไรอันเป็นคนที่วิชาการสุดโต่ง
เวลาถามอะไรมาทีนึกว่ากำลังอยู่ในห้องสัมภาษณ์งาน

เราต้องยอมรับว่าเราการพูดคุยกับเพื่อนๆ ชาวอาหรับ
มุตตาฟา และสองอาเมียนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเราเลย
ถ้าไม่ใช่เรื่องเรียนแล้วก็เหมือนอยู่กันคนละวงโคจร

ส่วนจี เราไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเขา สงสารเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่รู้สินะ!

เรากับดิงมีความคิดเหมือนกันว่า
โซลิต้าก็คือสภาพอากาศในเมลเบิร์นดีๆ นี่เอง
เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวลมแรง เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก
แปรปรวนเกินกว่าจะคาดคะเน



ห้าโมงเย็นแล้วนะเธอ
เรารอเธอมาทั้งวัน
เพราะตามพยากรณ์อากาศ
it's supposed to be a rainy friday.

::9 Days Off::




Time flies, especially when you are in that happy moment. 9 days off I spent not as worthy as I planned. I haven't been to the beach in the early morning. I haven't finished reading The Kite Runner. I haven't caught a camera. I haven't visited the zoo. I haven't hired a car to drive to Bodhivana Monastery, Thai temple. And also I haven't visited the Dandenong Ranges. 

On the other hands, I did things I didn't plan. 

On tram number 16 I took from home on that Friday evening, I sat opposite a hippie lady. She was listening to music while making bracelet. I didn't know if she did beautiful bracelet, but one thing I knew was her voice was real amazing. I jumped off at St.Kilda to join the St.Kilda Festival, but all were done for that day. I fell down at first but to walk with the windy weather on the seashore could heal. I walked, walked, and walked from the seashore to restaurants zone and met that hippie lady selling her bracelets on the street. She remembered me and of course I remembered her. At night, I stopped at one bracelets stall. It wasn't different from others, the sellers were just really friendly. A lady said hi and promoted her stuffs. From her accent, I knew immediately she wasn't the local and I was right, they are an Argentinian couple holding one year working visa. We talked and talked. I miss this feeling seriously. The feeling when I traveled alone and got to know people along the journey. 

I joined mini concert of Jessica Mauboy, a part of Indigenous Art Festival at Fed Square. She reminded me of younger Tata Young, very talented singer. 

Eventually, I joined the St.Kilda Festival on the last day of festival. There were many people, some came with friends and some came with family. Some walked, some sat, some danced, some chitchatted, some laughed, some took pictures and these made me feel that I was in Australia!

I went to Brunswick Flea Market. There was nothing special, except that northern umbrella style from my country, Thailand. I thought I was in Borsang. Perhaps, importing traditional goods from Thailand to sell here can make some money. It wasn't interesting market, so I took train to Altona, where I planned to come alone in the early morning someday. A plan that I wanted to do before going back to school, but I didn't do it.

On every Monday, there is special movie fare promotion at Cinema Nova. You know, I've never missed anything like this. I watched Her and 12 Years A Slave. I adored the first one. 

Many people recommended me to try coffee and cake at Brunetti. I did. However, Mario's Coffee House is still the number one in my heart. 

I ended up my 9 days off with walking and looking around the Sustainable Living Festival after the rain. I confirm the Melbourners love ecosystem, seriously.

::Bless The Broken Road::




no, i haven't met that man yet.
but i know, i know.
someday he will stand in front of me.


happy valentine's day.

::Wanderlust::




all of my journeys make me fall in love with not knowing where i am. to look right and left and straight ahead is unfamiliar. getting lost especially in the cities happens very often, and i still love it this way. i love traveling alone because i know friendships are waiting for me along the journey. however, i don't mind if my favorite fellow travelers will go with me. sometimes, or more often than sometimes, the way my journey turns out isn't the way i'd thought it would. i did worry, but not anymore because i know it's called adventure. and my adventure will never be the same as someone else's, yours either.

tonight, i'm so struck by the wanderlust.

::Rambling Before Bed::




Sometimes when I'm nervous,
I'll become a little quiet,
I'll become a little unsociable.


It doesn't make sense, I know.
To me either!


But it means I like you.



Kunjair,
Jair,
Jitsupa,
J,
Janie,
Jade,
Whatever you call me.


Good night!


::2014, Next Chapter Of My Life::




less talking, more listening.
less planning, more doing.
less coffee, more milk.
less meat, more veggie.
less complaining, more encouraging.
less worrying, more hoping.
less doubting, more believing.
less lazy around, more working out.
less frowning, more smiling.
less insecurity, more confidence.
less ignorance, more understanding.
less hate, more love.


keep traveling.
keep shooting photography.
keep being myself.


: )