::เพราะคิดถึง จึงถามไถ่::


สวัสดีค่ะ : )


เราหายไปนานมากพอดูเลยครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะเข้ามาเขียนให้บ่อยขึ้นกว่าปีก่อน แต่สุดท้ายมันก็เข้าอีหรอบเดิมทุกที แรงดีต้นปี พอเริ่มกลางปีก็ตายสนิท


ช่วงนี้อากาศดีนะคะ แม้กรุงเทพฯยังร้อนอยู่บ้างช่วงกลางวัน แต่ยามเช้ากับยามเย็นอากาศใช้ได้เลย ต่างจังหวัดบางที่เริ่มมีเลขตัวเดียวให้เห็นบนเทอร์มอมิเตอร์แล้ว อยากจะบอกว่าน่าอิจฉา แต่บางคนที่กำลังรับลมหนาวจัดอย่างทรมานอยู่ คงนึกในใจว่าอย่ามาอิจฉาฉันเลย ใช่ไหมคะ? ;P


การส่งโปสการ์ดอวยพรปีใหม่เป็นกิจกรรมส่วนตัวที่เราชอบมาก ทำมาหลายปีแล้ว ปีนี้ก็เช่นกัน พี่ๆ เพื่อนๆ หลายคนที่นี่ที่เคยให้ที่อยู่เราไว้ เรายังเก็บที่อยู่ของทุกคนไว้นะคะ แต่เพื่อความมั่นใจเลยเข้ามาถามว่ามีใครเปลี่ยนแปลงที่อยู่บ้างรึเปล่า หรือใครสนใจการสานสัมพันธ์รูปแบบคลาสสิคก็หย่อนที่อยู่ไว้นะคะ เรายินดีเสมอ


มีเรื่องเล่าเยอะแยะไปหมด ขอเวลาไปเกลาความรู้สึกเป็นตัวหนังสือก่อน แล้วเจอกันแบบยาวๆ ในเร็ววันนี้ค่ะ


อบอุ่นทุกครั้งที่เข้ามา : )

::ในมุมที่ต่างออกไป::


ตึก ตึก ตึก

เปล่า, เราไม่ได้หมายถึงอาคารสูงที่ห้อมล้อมมหานครกรุงเทพไว้ แต่มันคือเสียงหัวใจที่เต้นรัวแข่งกับเสียงรถไฟลอยฟ้า ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสูชานชาลาของสถานีอุดมสุข หนึ่งในห้าของสถานีส่วนต่อขยายซึ่งเริ่มเปิดให้บริการเมื่อวันแม่ที่ผ่านมา เราเฝ้ามองดูการประกอบร่างของรางรถไฟสายนี้มาตั้งแต่ต้น จึงไม่แปลกนักหากวันนี้ความตื่นเต้นมันทำงานหนักกว่าปกติ


เราชอบสายตาของความตื่นเต้น เมื่อใส่ความตื่นเต้นลงไป ม่านตาและหัวใจมักจะขยายออกแทบทุกครั้ง โลกในมุมที่ต่างจะส่งผลให้ความเข้าใจโลกมันต่างออกไปด้วย อย่างที่เราตื่นเต้นกับการเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้าจากหน้าบ้าน มันก็ทำให้เส้นทางเดิมๆ จากบ้านไปที่ทำงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


วันนี้เราเห็นตึกสูงในมุมที่ใกล้ขึ้น วันนี้เราเห็นป้ายร้านรวงที่แปลกตา วันนี้เราเห็นรถเมล์คันเมื่อวานเล็กลง วันนี้เราเห็นเมฆบนฟ้ากว้างจากองศาที่ต่างออกไป

พรุ่งนี้เราคงเห็นอะไรอีกเยอะแยะที่ไม่เหมือนเดิม และคงเข้าใจโลก ผู้คน และตัวเองในมุมที่ต่างออกไป มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น

::สิ่งที่ฉันเป็น::


เราไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำกันได้รึเปล่า แต่สำหรับเรา เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนแกนกลางของโลกได้เลยจริงๆ และไม่ใช่สุดขั้วโลกเหนือ ไม่ใช่สุดขั้วโลกใต้ หากวัดจากเส้นศูนย์สูตรของโลก ถ้าไม่เหนือขึ้นไปนิด ก็ต่ำลงมาหน่อย นี่แหละคือพื้นที่ชีวิตของเรา


เพราะสำหรับเรา, การกระทำไม่ได้ถูกแปรผันไปตามความพอดี แต่เป็นความรู้สึกต่างหาก ที่ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณที่จะถูกถ่ายทอดออกทางการกระทำ และเราเองก็ไม่ใช่คนที่เต็มที่ในทุกการกระทำ ไม่ได้ตั้งใจในทุกๆ หน้าที่และภาระที่ต้องแบก แต่ถ้าสิ่งไหนที่รู้สึกใช่และชอบ เราไม่เคยหมดแรงที่จะทำ ความเต็มที่และความตั้งใจถูกผสมอยู่ในกระบวนการผลิตเสมอ


ในวันเกิดที่ผ่านมา, คำอวยพรของเพื่อนคนหนึ่งกลายเป็นคำพูดที่พักนี้เราคอยใช้เตือนตนอยู่บ่อยๆ แม้จะไม่ได้เป็นคนยึดมั่นกับความเป็นตัวตนดั่งภูผาลูกโต แต่เราก็ภูมิใจกับความเป็นตัวเองที่ดูแปลกๆ อย่างนี้มาโดยตลอด จนในวันหนึ่งเหตุการณ์โยงใยให้เราเดินทางสู่โลกต้องมนต์ ที่ทั้งสะกดให้เพลินใจ ดึดดูดให้หลงใหล แต่ในที่สุด, ณ ตอนนี้ เราก็พากายพาใจกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีบทความนี้เป็นเครื่องยืนยันทุกสิ่ง : )


อีกหนึ่งคำพูดที่เป็นเหมือนดั่งเข็มทิ่มแทงกลางอกในระหว่างที่เรากำลังเริงร่าในโลกต้องมนต์ใบนั้น คือคำขอบคุณจากเพื่อนอีกคน เขาว่าของขวัญวันเกิดที่เรามอบให้ทำให้เขารู้ว่าวันนี้เขาเดินทางเพื่ออะไร มันตอกย้ำความรู้สึกในขณะนั้นจนเราฉุกคิดถึงตัวเองว่า แล้วนี่เรากำลังทำอะไรอยู่ พอรึยังกับโลกต้องมนต์แสนหวาน ถ้ายังคงเคลิ้มอยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เดินทางตามเส้นทางที่พร่ำบอกใครต่อใครไว้
 

ขอบคุณเขาทั้ง 2 สำหรับคำอวยพรและคำขอบคุณที่มาได้ถูกเวลาเสียเหลือเกิน


ความรู้สึกมนุษย์คล้ายกระแสน้ำที่ไม่เคยแน่นิ่งเรารู้ดี แต่ก็นั่นแหละเพราะนี่คือสิ่งที่ฉันเป็น

::รูปเล่าเรื่อง::


เป็นอีกหนึ่งวันสบายๆ ที่ฉันเองไม่อยากจะทำอะไรเลย นอกจากถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป ไดอารี่หน้านี้จึงอาจดูแปลกตาไปนิดที่มีรูปภาพมากกว่าตัวหนังสือ ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้เพลินตาไปกับการเล่าเรื่องด้วยรูปภาพในวันฝนพรำวันนี้นะคะ : )


สำหรับร้านกาแฟริมน้ำเจ้าพระยาที่ฉันเอ่ยถึงเมื่อไดฯ หน้าที่แล้ว ชื่อร้านว่า Vivi The Coffee Place ค่ะ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนตั้งตรงจิตแถวๆ วัดโพธิ์ ซอยที่มีธนาคารอยู่ด้านหน้า ร้านอยู่ด้านในสุดซอยเลยค่ะ ที่จริงแล้วฉันติดใจรสชาติเค้กของที่นี่มากกว่ารสชาติกาแฟอีกนะคะ ;P ไม่ทราบว่าใช่ร้านเดียวกันรึเปล่าเอ่ย?




















ราตรีสวัสดิ์วันฉ่ำฝนนะคะ : )

::ในวันที่ฟ้าสีเทา::


วันนี้ตั้งใจว่าจะเข้าเมืองไปเดินเล่น ถ่ายรูป และลิ้มรสเค้กโกโก้ ที่ร้านกาแฟริมแม่น้ำเจ้าพระยาร้านประจำในวันที่หัวใจหม่นหมอง แต่แล้วทุกอย่างก็ล้มไม่เป็นท่าเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ระหว่างกำลังจะข้ามถนนกลับบ้านเมื่อวานบ่าย จะว่าไปแล้วมันอาจจะเป็นโชคดีของฉันที่รถเก๋งคันโตไม่ถอยมาทับจนแบนบี้ เป็นเพียงการชนขาที่ไม่แรงนักพอรู้สึกถึงการกระทบกระเทือนเท่านั้น ฉันเดินกะเผลกพาตัวเองข้ามถนนเข้าบ้าน แม้จะไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แต่มันก็คงจะดีกว่านี้หากอุบัติเหตุที่ว่าไม่เกิดขึ้น จริงไหมคะ : )





ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มาแล้วที่บรรยากาศภายนอกหน้าต่างดูอึมครึม หมอกเมฆสีเทากระจายฟุ้งเกลื่อนฟ้า ลมโหมพัดกระโชกแรงเป็นระยะ แต่ก็แปลกที่ ณ ที่ๆ ฉันพักอาศัยไม่มีเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นให้เห็นเลยสักเม็ด

ฉันว่าอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ก็เหมือนกับสภาพอากาศนี่แหละ มันรวนเรแปรปรวนไม่เคยคงที่ แถมยังไม่เคยหยุดนิ่งอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยหากเมื่อตื่นเช้ามาคนเราจะรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนสายอีกอย่าง กลางวันอีกอย่าง คล้อยบ่ายอีกอย่าง ตกเย็นอีกอย่าง และในเวลาที่ฟากฟ้ามืดสนิทเราก็คงจะมีความรู้สึกในจิตใจอีกอย่างที่ต่างออกไปเช่นกัน


เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้วันนี้ฝนตกหรือพรุ่งนี้แดดออก เฉกเช่นเดียวกัน, เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้หัวใจเราไปรักใครหรือให้หัวใจใครมารักเรา


คนเราไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ สิ่งที่ทำได้คือการเต็มที่กับทุกการกระทำของตัวเอง ซื่อสัตย์ในสิ่งที่คิด แสดงออกให้ตรงกับใจ และเตรียมพร้อมรับทุกสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ทุกอย่างในจักรวาลล้วนมีเส้นทางการเคลื่อนที่และระยะเวลาในตัวของมันเองเสมอ 


พี่นภ พรชำนิเคยบอกว่า "อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ"


แม้ฉันจะไม่ได้พิสมัยวันชื้นฝนมากนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ความว่าฉันไม่เคยหลงรักวันฝนพรำซะหน่อย เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ว่าสายรุ้งมักทอแสงสวยที่สุดในวันที่ตลบอบอวลไปด้วยเม็ดฝนนี่หน่า

::ร้านกาแฟกับหญิงสาว การเดินทางธรรมดาในห้วงความรู้สึก::





เข้าวันที่ 5 แล้วที่ไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์ เข้าอินเตอร์เน็ต ติดต่อสื่อสารกับโลกไซเบอร์อย่างเต็มตัว มีบ้างที่เช็คความเป็นไปของผู้คนผ่าน facebook บันทึกความคิดความรู้สึกผ่าน 140 ตัวอักษรใน twitter โดยมีโทรศัพท์ smart phone เครื่องจิ๋วเป็นตัวเชื่อมโยง การที่เทคโนโลยีประเภทนี้เกิดขึ้นและมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกให้เห็นว่ามนุษย์เราทุกคนเป็นสัตว์สังคมอย่างสมบูรณ์


วันนี้ฉันออกจากบ้านมาแต่เช้าตรู่พร้อมสมุดบันทึก กล้องถ่ายรูป และหนังสือ"ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางธรรมดาในห้าทวีป" ที่ถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีน้ำตาลใบเล็กคู่ใจ


เป็นเวลากว่า 2 เดือนที่ฉันไม่ได้เหยียบย่างมาที่นี่ ร้านกาแฟร้านเล็กที่ถูกแฝงตัวอยู่ในย่านธุรกิจของมหานครกรุงเทพ ก่อนหน้านี้ฉันเคยประทับใจกับประโยคคำถามเรียบง่าย - "เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ?" ซึ่งกลายเป็นคำทักทายในทุกๆ เช้าที่ฉันจะได้รับจากพนักงานที่นี่ ฉันยิ้มและตอบรับ นี่คือคำทักทายของฉันในทุกๆ เช้าเช่นกัน :)


เช้านี้ฉันได้รับคำทักทายอย่างเป็นมิตรเช่นเคยตั้งแต่ยังไม่ได้เดินก้าวเข้าไปในร้าน "หายไปไหนตั้งนานเลย" น้องพนักงานวัยใส ยืนทำความสะอาดอยู่หน้าร้านเอ่ยถามด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม หัวใจฉันกระตุ้นวูบไหวกับประโยคพื้นๆ ประโยคนี้ - ฉันว่ามันคือความปลาบปลื้มใจ ฉันยืนนิ่งสักพักก่อนเอ่ยถึงสาเหตุของการหายไป ส่งยิ้ม ก่อนเดินเข้าไปในร้าน


พี่พนักงานสาวร่างอวบหันมายิ้มให้อย่างเช่นวันวานพร้อมประโยค "เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ?" มันเป็นประโยคที่เรียบง่ายที่ผู้ฟังสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ ให้ตายเถอะ! ฉันยอมแพ้กับความเอาใจที่เสมอต้นเสมอปลายของร้านกาแฟแห่งนี้จริงๆ บรรยากาศภายในร้านกาแฟแห่งนี้ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่แถวนี้ มีรอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจ


ฉันเลือกนั่งติดริมกระจกมองดูความเป็นไปของชีวิตที่รีบเร่งภายนอก เพียงกระจกกั้น - ความก้องดังกับความเงียบงัน จะว่าไปแล้วครั้งหนึ่งฉันก็เคยมีชีวิตอย่างนี้ ชีวิตที่แสนจะรีบเร่งร้อนรน


หนึ่งชั่วโมงผ่าน หนังสือของคุณโตมรถูกพลิกอ่านไปได้หลายหน้าแล้ว ขอบอกตามตรงว่าฉันคิดถึงหนังสือสารคดีท่องเที่ยวแนวนี้สุดหัวใจ หลายปีหลังมานี้หนังสือสารคดีท่องเที่ยวจากฝีมือนักเขียน-นักเดินทางรุ่นใหม่ ถูกวางอยู่บนชั้นในร้านหนังสือน้อยใหญ่มากมายเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดการเดินทางจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่ง ไร้คำบรรยายเกี่ยวกับความเป็นไปของสังคม วัฒนธรรม ผู้คน ความเป็นอยู่ ฯลฯ ถึงกระนั้น ก็ยังมีนักเขียน-นักเดินทางรุ่นใหม่ที่ฉันชื่นชมและประทับใจ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่เทียบเท่ากับนักเขียน-นักเดินทางรุ่นเก๋าหลายคน ที่ตัวหนังสือของพวกเขายังคงอยู่ในหัวใจฉันเสมอ


การหยิบหนังสือของคุณโตมรเล่มนี้ติดมาด้วย ยิ่งทำให้ฉันคิดถึงนักเขียน-นักเดินทางรุ่นเก๋าลายครามเหล่านั้น โดยเฉพาะตัวหนังสือของคุณ"ภาณุ มณีวัฒนกุล" ที่มักจะกระตุ้นสมองให้คิดตามและกระตุกหัวใจให้อยากออกเดินทางไปด้วยทุกครั้ง


สำหรับฉัน, ฉันไม่ใช่นักเดินทางอาชีพที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วหลายพื้นพิภพ ฉันเป็นเพียงหญิงสาวหัวใจเดินทางสมัครเล่นเท่านั้นเอง : )



บันทึกไว้ในวันสุดท้ายของเดือนแห่งความรัก
ณ ร้าน Zana's Bean Coffee, สุรวงศ์

::ขอบคุณค่ะ::


ไดอารี่หน้านี้อยากมอบให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ที่คอยเข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันเสมอ ทั้งๆ ที่พักหลังมานี่ฉันก็ไม่ค่อยได้เข้าไปทักทายใครเท่าไหร่เลย แต่หลายๆ คนก็ยังหมั่นเปิดไดอารี่ของฉัน เข้ามาทักทาย ถามไถ่ หรือแม้กระทั่งไปกระตุ้นฉันถึงใน facebook ให้กลับมาเขียนไดอารี่บ้าง อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ไม่ได้จะเลิกเขียนไดฯ แต่แค่มีความรู้สึกอยากจะขอบคุณจากหัวใจจริงๆ : )


อย่างที่เคยบอกอยู่บ่อยๆ ว่าฉันรักมิตรภาพที่อบอุ่นที่เกิดขึ้นที่นี่ ฉันเคยมีความคิดจะเลิกเขียนไดฯที่นี่ เพราะหลายๆ ครั้งฉันมีความรู้สึกว่า เด็กๆ หน้าใหม่เริ่มเข้ามาเขียนที่นี่เยอะ และอะไรๆ ดูจะไม่เหมือนเดิม แต่เพราะความอบอุ่นที่อบอวลที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากวันวานของที่นี่ ทำให้ฉันเลิกไม่ลงและไปไหนไม่รอด ไปเขียนที่อื่นได้ไม่นานก็ต้องกลับมา โดยส่วนตัวแล้วฉันพบว่าไม่มีสังคมออนไลน์ที่ไหนอบอุ่นเท่าที่นี่เลยจริงๆ


มีหลายๆ คนที่ฉันรู้จักตั้งแต่ไดฯฮับ แต่ฉันว่าไดฯอิสทำให้พวกเราใกล้ชิดกันมากขึ้น อาจจะเป็นช่วงของวัยและความคิดที่โตขึ้น เรื่องราวหลายอย่างที่ก่อนจะกดปุ่มบันทึกถูกคัดกรองมาแล้วส่วนหนึ่ง แม้บางคนจะเลิกเขียนไปแล้วแต่ก็ยังคงติดต่อกันบ้าง สำหรับคนที่ยังคงพบปะกันที่นี่ มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกดีกับทุกคนมากขึ้น แม้ใครคนอื่นอาจมองว่ามันเป็นเพียงตัวอักษรไร้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ แต่สำหรับฉัน ฉันสัมผัสได้ว่าพี่ๆ หลายคนคอยมองดูการเติบโตของฉันอยู่ เพื่อนๆ หลายคนคอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อนที่รับฟังเวลาฉันต้องการที่พึ่ง น้องๆ หลายคนสร้างรอยยิ้มให้กับฉันในวันที่ไม่คาดว่าตัวเองจะยิ้มออก


ไม่รู้เหมือนกันนะคะ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้ฉันอยากจะเขียนไดอารี่หน้านี้ไว้ ในวันที่ความรู้สึกดีมันอัดอั้นเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียว : )





หนึ่งในคอมเมนต์ที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกอิ่มใจมากที่สุดคือการได้เห็นคอมเมนต์ของพี่คนนี้ เพราะเป็นเวลานานเกือบปีแล้วที่ฉันไม่เห็นชื่อไดฯนี้ขึ้นสีน้ำเงิน และถ้าพี่ได้เข้ามาอ่านไดอารี่หน้านี้ของหนู หนูอยากเอ่ยคำว่า "ขอบคุณค่ะ" และถ้าพี่มีเวลา ก็อยากจะบอกว่าหนูยังอยากอ่านเรื่องราวของพี่อยู่เสมอนะคะ


นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายๆ คนที่ฉันอยากจะบันทึกไว้ในไดอารี่หน้านี้ พี่ปิ๋ม, แอ๊ะ, น้องหวาย, พี่ฝนพรำ, ตาล, พี่เบีย, คุณ p-jung, พี่หนุ่ม, น้องมุ่ย และจิ๊ก บางคนฝากความเป็นห่วงเป็นใย กำลังใจ ข้อคิด ผ่านคอมเมนต์ บางคนฝากคำทักทาย คำชื่นชม และเสียงหัวเราะเล็กๆ เอาไว้ใต้ตัวอักษรเหล่านั้น ในขณะที่บางคนได้ฝากรอยยิ้ม บ้างยิ้มแฉ่ง บ้างยิ้มทะเล้น บ้างก็ดูเหมือนจะแอบยิ้มแบบเขินๆ ;P


ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์รูปแบบไหน ก็อยากจะบอกว่า ขอบคุณมากๆ นะคะ และดีใจมากที่ได้รู้จักทุกๆ คน : )

::พรหมลิขิต::


คุณเชื่อในพรหมลิขิตกันบ้างไหมคะ?

สำหรับฉันเอง, ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่เพียงไม่เคยมีคำถามประเภทนี้อยู่ในความคิดเลยก่อนที่จะมาพบกับเขา


ฉันห่างหายจากความรักมานานหลายปีแล้ว นานพอที่จะทำให้ตัวเองคิดว่าหัวใจดวงนี้อาจด้านชา หรือไม่ก็เคยชินกับการอยู่คนเดียวไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เดินเข้ามาทำให้ก้อนเนื้อสีแดงก้อนนี้ เกินการสั่นไหวเล็กๆ จับจังหวะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง


มันไม่ใช่รักแรกพบหรืออะไรพรรณนั้น ในความจริงแล้วมันอาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของความชอบและประทับใจ ทุกวันนี้ เราอยู่ในขั้นตอนของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านพ้น ฉันพบว่ามันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เรามีความคิดในทิศทางเดียวกัน อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็มากพอที่จะทำฉันสนใจในความเป็นตัวเขามากขึ้น


ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นพรหมลิขิต แต่หลายๆ อย่างทำให้ฉันแอบรู้สึกว่ามันอาจจะใช่ เรามีกิจกรรมหลายๆ อย่างคล้ายกันซึ่งเราน่าจะเคยเดินเฉียดกันไปมา อีกทั้งที่ทำงานเก่าของฉันก็อยู่ใกล้กับเขาเสียจนไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายเราก็ไปเจอกันในที่ๆ ไม่น่าจะเจอกันได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นเพียงหนึ่งในเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งของชีวิต เพราะถ้ามันเป็นพรหมลิขิตพื้นที่ในหัวใจของเขาคงไม่มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว

เหมือนเช่นวันนี้...