:::ยี่สิบนาฬิกา สามสิบเก้านาที:::


4 ปีมาแล้วสินะที่ได้อวยพรวันเกิดเค้าคนนี้ และก็ 5 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้เจอหน้าเค้าเลย มันนาน นาน นานมากๆ ....
วันนี้วันวันเกิดครบรอบ 22 ปีของเค้า ฉันพึ่งจะโทรไปหาเมื่อกี้นี่เอง
20.39 น.
ฉัน : ฮัลโหล นี่แจนะ
เค้า : ว่าไงจ๊ะ
ฉัน : Happy Birthday นะ
เค้า : ขอบคุณครับ
ฉัน : โทรมาแค่เนี้ยแหละ ไม่มีอะไร
เค้า : อ๊ะ แล้วเป็นไงบ้างเนี่ย
ฉัน : ก็เรื่อยๆอะ
เค้า : แล้วนี่อยู่ไหน
ฉัน : อยู่บ้านแหละ แล้วพี่...ล่ะ
เค้า : ขับรถอยู่
ฉัน : อ๋อ อื้มไว้ว่างๆจะโทรไปคุยใหม่ละกันนะ แค่นี้นะ
เค้า : อื้ม หวัดดีครับ
ฉัน : หวัดดีค่ะ
ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาที่สั้นมากในการสนทนา ครั้งนี้ แต่รู้มั้ยฉันรู้สึกดีใจมากๆ กับคำว่า "ว่าไงจ๊ะ" เพราะอะไร ฉันขอเก็บไว้ในใจ
บางทีฉันนึกว่าฉันกำลังฝันอยู่ เพราะหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเค้ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น
ครั้งแรกที่ได้รู้จักชื่อเค้า มันก็เปิดเรื่องบังเอิญ "เพื่อน เค้าตะโกนเรียกชื่อเค้าบนรถเมล์คันเล็กภายในซอยโรงเรียน ซึ่งฉันก็นั่งอยู่บนรถเมล์คันนั้น" (ปกติไม่มีใครเรียกชื่อเล่นเค้า จะเรียกฉายาเค้ามากกว่า และมีน้อยคนมากที่คิดว่าฉายาคือชื่อเค้า)


ครั้งแรกที่รู้วันเกิดเค้า มันก็เป็นเรื่องบังเอิญ "เพื่อนฉันอยู่ชุมนุมกองทะเบียนนักเรียนตอน ม. 1 และนี่เป็นที่มาของวันเกิดเค้า"


ครั้งแรกที่ได้เบอร์โทรศัพท์เค้า มันก็เป็นเรื่องบังเอิญ "ฉันเก็บสมุดโทรศัพท์ที่ตกอยู่ใกล้ๆสนามบาสได้ตอนม.2 และในนั้นก็มีเบอร์บ้านเค้า"


ครั้งแรกที่เราได้คุยกันนานที่สุดนอกจากการคุยผ่านโทรศัพท์ มันก็เป็นเรื่องบังเอิญ "เมื่อฉันกำลังเดินกลับห้องเรียน และเค้ากำลังลงบรรไดลงมาพอดี เลยจ๊ะเอ๋กัน"


หลังจากเค้าจบออกไปจากโรงเรียน ฉันก็ไม่ได้ติดต่อเค้าบ่อยนัก จนเค้าเปลี่ยนเบอร์ไปฉันก็ยังไม่รู้
แต่มันก็บังเอิญอีก "เมื่อฉันได้เบอร์เค้ามาจากเพื่อนคนหนึ่งที่ก็ชอบเค้าเหมือนกัน"


หลังจากนั้นเค้าได้เปลี่ยนเบอร์อีกครั้ง 


มันก็บังเอิญอีก ครั้ง "เพื่อนของฉันเรียนอยู่มหาลัยเดียวกับเค้า และในขณะที่ฉันกับเพื่อนกำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่ เพื่อนฉันเห็นเค้าเดินผ่านพอดีจึงเรียกไว้และให้คุยโทรศัพท์กับฉัน เค้าจึงให้เบอร์ใหม่เค้ามา"


และก็บังเอิญ "ที่ฉันและเค้าเกิดเดือนเดียวกัน"
ฉันไม่มีอะไรที่เป็นที่ระลึก แม้แต่ไม่มีรูปซักใบก็ยังไม่มี มีแต่ความทรงจำที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว 


ฉันไม่ได้คิดถึงเค้าทุกเวลา ไม่ได้หวังในสิ่งที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้น อาจจะเคยคิด อาจจะเคยหวัง แต่นั่นมันเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนี้ฉันหวังเพียงอย่างเดียวคือ ... อยากจะเจอเค้าอีกซักครั้ง 


ฉันไม่ได้อยากให้ระยะห่างของฉันกับเค้าใกล้ไป มากกว่านี้ และฉันก็ขอให้ระยะห่างของฉันกับเค้าไม่ไกลไปมากกว่านี้ เพราะที่ตรงนี้ ณ ตอนนี้ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นที่ที่ลงตัวสำหรับฉันแล้ว มันดีแล้ว


ณ วันนี้ เค้าคือพี่ชายที่ฉันรัก เคารพ และเป็นห่วง ฉันไม่รู้ว่าจะอีกกี่ปีที่ฉันจะยังรู้สึกอย่างนี้ รู้สึกตื่นเต้นทุกทีก่อนโทรหา รู้สีกมีความสุขทุกครั้งระหว่างคุยกัน และหุบยิ้มไม่ได้หลังจากวางสาย

หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในใจ มีความหมายที่มากมาย...ตลอดมา

::สถานีใจ::



ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของทุกๆ คนนะคะ วันเกิดในทุกๆ ปีผ่านไปอย่างเรียบง่าย เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันนี้เสียเท่าไหร่ ในความรู้สึกของฉัน มันเป็นวันหนึ่งที่แม่ผู้มีพระคุณเจ็บปวดมากๆ กว่าจะคลอดฉันออกมา มันน่าจะเป็นวันสำหรับแม่มากกว่าน่ะ
.
.
.
เคยคิดกันมั้ยคะว่า อะไรนะถึงทำให้เราตัดสินใจว่าคนนี้น่าจะเป็นคนดี คนไม่ดีในแว๊บแรกที่ได้พบเจอ สำหรับฉัน ฉันมองจากกายภายนอกก่อนค่ะ หน้าตา บุคลิกท่าทางว่าดูสุภาพ น่าไว้ใจมั้ย ถ้าเป็นผู้หญิงฉันก็จะมีความคิดในแง่บวกมากกว่าผู้ชาย 


แต่ในความจริงแล้ว น้อยครั้งนะที่ฉันคิดว่าฉันดูคนถูกจริงๆ ใช่ว่าผู้หญิงจะน่าไว้ใจกว่าผู้ชายเสมอไป แต่ก็อีกแหละ ผู้ชายแปลกหน้าก็อันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างฉันเหมือนกัน


สายตา จากชายคนขับซึ่งดูไม่น่าไว้วางใจเลย กับกริยาท่าทางที่สุภาพจากคุณป้าผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่ง ถ้าเป็นคุณ คุณว่าใครน่าจะปลอดภัยมากกว่ากันคะ ??


ฉัน ... ฉันเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของคุณป้ามากกว่า


แต่ .. ในที่สุด ชายคนนั้นก็ใช่ว่าไม่ดีล่ะค่ะ เค้าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะฉันว่า


วันนี้ฉันหลงทางในมุมเมืองที่ฉันไม่คุ้นเคย ป้าคนหนึ่งพยายามช่วยฉันให้ไปทันรถไฟ ป้าบอกให้ลงพร้อมป้าแล้วขึ้นรถเครื่องไปดักรอรถไฟ ป้าบอก "ทันแน่" เพราะถ้าจะนั่งรถไปถึงสถานีต้นสาย มันไม่ทันแน่ๆ
ฉัน เกือบก้าวลงอยู่แล้ว ชายคนขับทักว่าจะไปไหน รู้จักเค้าหรอจะไปกับเค้าน่ะ ฉันนึกในใจนะว่า "ฉันก็ไม่รู้จักคุณเหมือนกัน ทำไมฉันต้องหยุดด้วยเนี่ย" แต่แล้วก็มีคำพูดเตือนสติหลากหลายอย่างจากชายหนุ่มวันเบญจเพศออกมาอย่าง พรั่งพรู ฉันอึ้งนิดนึงกับคำพูดเหล่านั้น อึ้งและฉันก็คิดได้ และสรุปได้ว่า ที่พี่คนขับคอยมองมาบ่อยๆ เพราะว่าเป็นห่วงเห็นเป็นคนต่างถิ่น แต่แหม .. สายตาที่มองมามันแบบ ... ไม่น่าไว้วางใจเล้ยยยย !!


แต่ ฉันก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าป้าเค้าจะพาฉันไปทำมิดีมิร้าย ฉันยังเชื่อในความโอบอ้อมอารีที่ท่านยื่นให้ และฉันรู้สึกไม่ดีเลย เมื่อรถขับเคลือนไปในขณะที่ป้ากำลังมองตามรถ .... ป้าท่านคงงง และอาจจะน้อยใจนิดๆ ก็ได้
.
.
.
ประสบการณ์ สอนฉันมากมาย ที่จริงการเดินทางทุกครั้งก็สอนฉันเสมอ ฉันยังไม่เคยเดินทางไปไหนโดยราบรื่นเลยซักครั้ง มันต้องมีสะดุดบ้าง ล้มบ้างอย่างนี้ตลอด แต่ฉันก็รู้สึกชอบนะ บางครั้งการที่เราได้อะไรมาง่ายๆ มันไม่สนุกน่ะ เป็นอย่างนี้เหมือนการทดสอบตัวฉันไปเรื่อยๆ สนุกดี มันได้อะไรเยอะกว่าน่ะ ...



ปล. สรุปว่าจะไปสถานีไหนก็ไปไม่ทันอยู่ดี มีเพียงสถานีเดียวที่ไปเมื่อไหร่ก็ทัน ... ก็ "สถานีใจ" ไงคะ :)

::Happy Birthday ... 19 ฝน::



18 ฝนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ฝนที่19 เดินทางมาถึงแล้ว

ขอให้ฝนครั้งนี้เป็นฝนที่ชุ่มช่ำทั้งกาย และใจนะ .....

 

Happy Birthday to ... ME

::ฉันไม่อยากให้แกเป็นห่วง::



เรื่องราวและความรู้สึก ระหว่างเพื่อนที่มีต่อเพื่อนมันลึกเนอะ เป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าถึง จิตใจเค้าและเรา คนนึงคิดอย่าง อีกคนคิดอย่าง คนรอบข้าง(อย่างฉัน) ก็คิดอีกอย่าง โว๊ย...สับสน!!
.
.
.
"ฉันไม่อยากให้แกเป็นห่วง" เหมือน จะเป็นคำพูดที่ดูดีนะ แต่สำหรับเธอคนนั้น อาจจะเป็นคำพูดที่บาดลึกมากๆ เลยก็ได้ เป็นเพื่อนกันทำไมถึงไม่บอกกันล่ะ ทำไมถึงต้องเก็บเงียบ คิดแต่ว่ากลัวเพื่อนอีกคนจะคิดมาก หรือแม้แต่ยังไม่กล้าบอกเพราะยังไม่ถึงเวลา แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เวลานั้นจะเดินมาถึง เธอคนนั้นต้องรอคอยถึงเมื่อไหร่กว่าเพื่อนคนหนึ่งจะเปิดปากเล่าความในใจกับ เธอ รอ รอ รอ ..... คงรอจนไม่อยากรอแล้วมั้ง


เพื่อนคนหนึ่งให้เธอผู้ ที่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดรอ แต่กลับเพื่อนอีกคนหนึ่งเธอสามารถบอกได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก บางคนอาจไม่คิดอะไร แต่เธอเผอิญน้อยใจ และได้แต่คิด คิด และคิด 


ทำไมถึงคิดว่าเธอจะรับ ไม่ได้ล่ะ ทำไมถึงตัดสินใจเธอ ด้วยความคิดของตัวเอง เธออาจจะดูอ่อนแอ เธออาจขี้โวยวาย(นิดนึง) หรือแม้แต่เธอ เธอ เธอ แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็คือเพื่อนที่รักที่สุดไม่ใช่หรอ คนเรารักกันถึงจะเป็นร้ายแรงแค่ไหนมันก็ต้องรับกันได้ หรือไม่จริงล่ะ


การที่เธอไม่รู้อะไร มันทำให้เธอคิดไปไกลจากความเป็นจริง ถ้าไม่อยากให้รู้หรือไม่อยากบอกจริงๆ ก็ไม่ต้องมาพร่ำว่า "เดี๋ยวจะบอกนะๆ" หรืออย่าทำให้อะไรที่เหมือนว่าจะบอกเธอโดยการกระทำ ทั้งความเป็นห่วง และความอยากรู้มันมีอยู่ในตัวของทุกคน มันห่วงเพราะเป็นเพื่อนกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อน เธอก็คงไม่สนและใส่ใจอะไรถึงเพียงนี้


เพื่อนกัน คือการแชร์ความรู้สึกต่อกัน ทั้งเรื่องราวที่สุข และเรื่องราวที่ทุกข์ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงต้องปิดๆ บังๆ ไม่แชร์ในสิ่งที่เพื่อนควรมีให้กันล่ะ


ลองคิดนะ ถ้าคุณเป็นคนที่รู้เป็นคนสุดท้าย มันจะรู้สึกยังไง ทั้งๆที่เป็นเพื่อนที่รักและสนิทที่สุด
.
.
.
ถ้าเพื่อนคุณมีปัญหา เดือดร้อน คุณอยากจะรู้เป็นคนแรกหรือคนสุดท้ายล่ะ หรือคุณไม่อยากรับรู้อะไรจากเพื่อนที่คุณรักเลย


ฉันเชื่อเสมอว่า ถ้าเพื่อนคนนั้นคือเพื่อนคุณจริงๆ ไม่ว่าจะปัญหาใหญ่แค่ไหน จะเดือดร้อนยังไงก็ตาม คุณผู้เป็นเพื่อนก็อยากที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นเป็นคนแรกด้วยกันทั้ง นั้น ... อย่างน้อย ฉันก็คนหนึ่งที่อยากเป็นคนแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นของเพื่อนที่ ฉันรัก และมันจะวิเศษที่สุด ถ้าเพื่อนของฉันบอกฉันด้วยปากของตนเอง
ปล. ไม่ใช่เรื่องของฉันหรอกนะ แต่บังเอิญว่าเธอคนนั้นเป็นเพื่อนที่ฉันรัก ก็เท่านั้นเอง
ปล. ขอบใจตาลมากๆ นะ ที่หอบเอาไปทิ้งให้ มันได้ผลจริงๆ ตอนนี้สบายขึ้นเยอะเลย แล้วก็ได้จดหมายแล้วนะ แต่ยังไม่ได้เปิด เดี๋ยวจะไปเปิดนี่ล่ะ :)