::รูปเล่าเรื่อง::


เป็นอีกหนึ่งวันสบายๆ ที่ฉันเองไม่อยากจะทำอะไรเลย นอกจากถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป ไดอารี่หน้านี้จึงอาจดูแปลกตาไปนิดที่มีรูปภาพมากกว่าตัวหนังสือ ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้เพลินตาไปกับการเล่าเรื่องด้วยรูปภาพในวันฝนพรำวันนี้นะคะ : )


สำหรับร้านกาแฟริมน้ำเจ้าพระยาที่ฉันเอ่ยถึงเมื่อไดฯ หน้าที่แล้ว ชื่อร้านว่า Vivi The Coffee Place ค่ะ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนตั้งตรงจิตแถวๆ วัดโพธิ์ ซอยที่มีธนาคารอยู่ด้านหน้า ร้านอยู่ด้านในสุดซอยเลยค่ะ ที่จริงแล้วฉันติดใจรสชาติเค้กของที่นี่มากกว่ารสชาติกาแฟอีกนะคะ ;P ไม่ทราบว่าใช่ร้านเดียวกันรึเปล่าเอ่ย?




















ราตรีสวัสดิ์วันฉ่ำฝนนะคะ : )

::ในวันที่ฟ้าสีเทา::


วันนี้ตั้งใจว่าจะเข้าเมืองไปเดินเล่น ถ่ายรูป และลิ้มรสเค้กโกโก้ ที่ร้านกาแฟริมแม่น้ำเจ้าพระยาร้านประจำในวันที่หัวใจหม่นหมอง แต่แล้วทุกอย่างก็ล้มไม่เป็นท่าเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ระหว่างกำลังจะข้ามถนนกลับบ้านเมื่อวานบ่าย จะว่าไปแล้วมันอาจจะเป็นโชคดีของฉันที่รถเก๋งคันโตไม่ถอยมาทับจนแบนบี้ เป็นเพียงการชนขาที่ไม่แรงนักพอรู้สึกถึงการกระทบกระเทือนเท่านั้น ฉันเดินกะเผลกพาตัวเองข้ามถนนเข้าบ้าน แม้จะไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แต่มันก็คงจะดีกว่านี้หากอุบัติเหตุที่ว่าไม่เกิดขึ้น จริงไหมคะ : )





ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มาแล้วที่บรรยากาศภายนอกหน้าต่างดูอึมครึม หมอกเมฆสีเทากระจายฟุ้งเกลื่อนฟ้า ลมโหมพัดกระโชกแรงเป็นระยะ แต่ก็แปลกที่ ณ ที่ๆ ฉันพักอาศัยไม่มีเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นให้เห็นเลยสักเม็ด

ฉันว่าอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ก็เหมือนกับสภาพอากาศนี่แหละ มันรวนเรแปรปรวนไม่เคยคงที่ แถมยังไม่เคยหยุดนิ่งอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยหากเมื่อตื่นเช้ามาคนเราจะรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนสายอีกอย่าง กลางวันอีกอย่าง คล้อยบ่ายอีกอย่าง ตกเย็นอีกอย่าง และในเวลาที่ฟากฟ้ามืดสนิทเราก็คงจะมีความรู้สึกในจิตใจอีกอย่างที่ต่างออกไปเช่นกัน


เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้วันนี้ฝนตกหรือพรุ่งนี้แดดออก เฉกเช่นเดียวกัน, เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้หัวใจเราไปรักใครหรือให้หัวใจใครมารักเรา


คนเราไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ สิ่งที่ทำได้คือการเต็มที่กับทุกการกระทำของตัวเอง ซื่อสัตย์ในสิ่งที่คิด แสดงออกให้ตรงกับใจ และเตรียมพร้อมรับทุกสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ทุกอย่างในจักรวาลล้วนมีเส้นทางการเคลื่อนที่และระยะเวลาในตัวของมันเองเสมอ 


พี่นภ พรชำนิเคยบอกว่า "อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ"


แม้ฉันจะไม่ได้พิสมัยวันชื้นฝนมากนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ความว่าฉันไม่เคยหลงรักวันฝนพรำซะหน่อย เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ว่าสายรุ้งมักทอแสงสวยที่สุดในวันที่ตลบอบอวลไปด้วยเม็ดฝนนี่หน่า

::ร้านกาแฟกับหญิงสาว การเดินทางธรรมดาในห้วงความรู้สึก::





เข้าวันที่ 5 แล้วที่ไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์ เข้าอินเตอร์เน็ต ติดต่อสื่อสารกับโลกไซเบอร์อย่างเต็มตัว มีบ้างที่เช็คความเป็นไปของผู้คนผ่าน facebook บันทึกความคิดความรู้สึกผ่าน 140 ตัวอักษรใน twitter โดยมีโทรศัพท์ smart phone เครื่องจิ๋วเป็นตัวเชื่อมโยง การที่เทคโนโลยีประเภทนี้เกิดขึ้นและมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกให้เห็นว่ามนุษย์เราทุกคนเป็นสัตว์สังคมอย่างสมบูรณ์


วันนี้ฉันออกจากบ้านมาแต่เช้าตรู่พร้อมสมุดบันทึก กล้องถ่ายรูป และหนังสือ"ผ้าปูโต๊ะกับลมหมอ การเดินทางธรรมดาในห้าทวีป" ที่ถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีน้ำตาลใบเล็กคู่ใจ


เป็นเวลากว่า 2 เดือนที่ฉันไม่ได้เหยียบย่างมาที่นี่ ร้านกาแฟร้านเล็กที่ถูกแฝงตัวอยู่ในย่านธุรกิจของมหานครกรุงเทพ ก่อนหน้านี้ฉันเคยประทับใจกับประโยคคำถามเรียบง่าย - "เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ?" ซึ่งกลายเป็นคำทักทายในทุกๆ เช้าที่ฉันจะได้รับจากพนักงานที่นี่ ฉันยิ้มและตอบรับ นี่คือคำทักทายของฉันในทุกๆ เช้าเช่นกัน :)


เช้านี้ฉันได้รับคำทักทายอย่างเป็นมิตรเช่นเคยตั้งแต่ยังไม่ได้เดินก้าวเข้าไปในร้าน "หายไปไหนตั้งนานเลย" น้องพนักงานวัยใส ยืนทำความสะอาดอยู่หน้าร้านเอ่ยถามด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม หัวใจฉันกระตุ้นวูบไหวกับประโยคพื้นๆ ประโยคนี้ - ฉันว่ามันคือความปลาบปลื้มใจ ฉันยืนนิ่งสักพักก่อนเอ่ยถึงสาเหตุของการหายไป ส่งยิ้ม ก่อนเดินเข้าไปในร้าน


พี่พนักงานสาวร่างอวบหันมายิ้มให้อย่างเช่นวันวานพร้อมประโยค "เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ?" มันเป็นประโยคที่เรียบง่ายที่ผู้ฟังสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ ให้ตายเถอะ! ฉันยอมแพ้กับความเอาใจที่เสมอต้นเสมอปลายของร้านกาแฟแห่งนี้จริงๆ บรรยากาศภายในร้านกาแฟแห่งนี้ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่แถวนี้ มีรอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจ


ฉันเลือกนั่งติดริมกระจกมองดูความเป็นไปของชีวิตที่รีบเร่งภายนอก เพียงกระจกกั้น - ความก้องดังกับความเงียบงัน จะว่าไปแล้วครั้งหนึ่งฉันก็เคยมีชีวิตอย่างนี้ ชีวิตที่แสนจะรีบเร่งร้อนรน


หนึ่งชั่วโมงผ่าน หนังสือของคุณโตมรถูกพลิกอ่านไปได้หลายหน้าแล้ว ขอบอกตามตรงว่าฉันคิดถึงหนังสือสารคดีท่องเที่ยวแนวนี้สุดหัวใจ หลายปีหลังมานี้หนังสือสารคดีท่องเที่ยวจากฝีมือนักเขียน-นักเดินทางรุ่นใหม่ ถูกวางอยู่บนชั้นในร้านหนังสือน้อยใหญ่มากมายเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดการเดินทางจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่ง ไร้คำบรรยายเกี่ยวกับความเป็นไปของสังคม วัฒนธรรม ผู้คน ความเป็นอยู่ ฯลฯ ถึงกระนั้น ก็ยังมีนักเขียน-นักเดินทางรุ่นใหม่ที่ฉันชื่นชมและประทับใจ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่เทียบเท่ากับนักเขียน-นักเดินทางรุ่นเก๋าหลายคน ที่ตัวหนังสือของพวกเขายังคงอยู่ในหัวใจฉันเสมอ


การหยิบหนังสือของคุณโตมรเล่มนี้ติดมาด้วย ยิ่งทำให้ฉันคิดถึงนักเขียน-นักเดินทางรุ่นเก๋าลายครามเหล่านั้น โดยเฉพาะตัวหนังสือของคุณ"ภาณุ มณีวัฒนกุล" ที่มักจะกระตุ้นสมองให้คิดตามและกระตุกหัวใจให้อยากออกเดินทางไปด้วยทุกครั้ง


สำหรับฉัน, ฉันไม่ใช่นักเดินทางอาชีพที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วหลายพื้นพิภพ ฉันเป็นเพียงหญิงสาวหัวใจเดินทางสมัครเล่นเท่านั้นเอง : )



บันทึกไว้ในวันสุดท้ายของเดือนแห่งความรัก
ณ ร้าน Zana's Bean Coffee, สุรวงศ์