::เด็กผู้ชายคนนั้น::






ถึง .... เด็กผู้ชายคนนั้น
.
.
.
เปิดออกมาดูโดยไม่ตั้งใจ ว่าจะได้เจอรูปเก่า
อยุ่ในวันเวลาที่สดใส วันที่มีเราข้างกัน
ภาพเดิมๆ ก็หวนมา เปลี่ยนเวลากลับไปวันนั้น
ใจก็เหมือนสั่นๆ เกือบลืมกันแล้ว
ต่างเดินกันไปตามทางของใคร
แยกไปค่อยๆ ไกลห่าง
อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็จางหาย ขาดกันโดยไม่รู้ตัว
กับเรื่องราวที่สวยงาม อยู่อย่างเดิมไม่เคยหมองมัว
ในหนังสือเก่าๆ หนังสือรุ่นเราเล่มนี้

รูปเธอยังยิ้ม ข้างเธอคือฉัน
เพ่งมองดูนานๆ น้ำตาก็มาคลอๆ
กี่ปีมาแล้ว เธอเป็นอย่างไรบ้างหนอ
ค่อยๆ ลืมเลือนกันไป ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
เรื่องราวเหล่านั้นจึงจบลง

เปิดไปดูเบอร์โทรไม่เห็นมี ที่ลงไว้คือที่อยู่
หยิบปากกาบรรยายในจดหมาย ว่าจำกันได้ไหมเธอ
ที่อยู่เดิมที่เขียนไป หากเปลี่ยนแปลงก็คงไม่รู้
ได้แต่หวังกันไป ความหลังคงไม่ตายจากเรา
.
.
.
เพื่อน...ที่เติบโตมาด้วยกันสมัยประถม
เพื่อน... ที่ชอบหาอะไรใหม่ๆ มาให้ฉันเล่น
เพื่อน...ที่วิ่งไล่จับกันตอนเด็กๆ
เพื่อน...ที่เข้าใจว่าฉันคิดยังไง
เพื่อน...ที่มานั่งเล่นจนดึกจนดื่นที่บ้าน
เพื่อน...ที่เมื่อไหร่แกก็ยังเป็นเพื่อน
.
.
.
ไม่รู้ อีกนานไหม ที่เราจะได้กลับมาเจอกันอีก แกก็มีทางของแกที่จะเดิน ฉันก็มีทางของฉันเหมือนกัน แต่หวังว่าซักวัน เส้นทางสองเส้นจะบรรจบเป็นเส้นขนานเหมือนดั่งสมัยวันวานอีกซักครั้ง
เด็กชาย ..... "มาครับ"
เด็กหญิง ..... "มาค่ะ"
.
.
.
คิดถึงแกจริงๆ ว่ะ

::Goodbye My Dear Friend::

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เพื่อนรักจากฉันไป ไปไกลจนไม่มีวันหวนกลับ ร่วม10ปีที่เราได้อยู่ด้วยกัน ได้เจอหน้ากันตอนกลับบ้าน อาบน้ำ วิ่งเล่น ให้อาหาร มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ รวมทั้งเมื่อฉันเครียด ท้อแท้ ผิดหวัง ก็มีมันเนี่ยแหละที่อยู่เป็นเพื่อนฉันเสมอ



เวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม ฉันได้ยินเสียงโจโจ้เห่า แต่ฉันไม่ได้ออกไปดูว่ามันเห่าอะไร ฉันไม่เอะใจเลยซักนิด ไม่เลย.. ไม่เลยจริงๆ


เวลาผ่านไป เกือบเที่ยงคืน แม่เดินเข้ามาปลุกให้ไปช่วยพ่อขุดดินฝั่งทอง ฉันลุกพรวดรีบวิ่งไปดูร่างของมันที่นอนสิ้นใจอยู่ข้างๆ อ่างบัว มันคงเดินออกมาจากใต้ถุนบ้านป้า มานอนตายข้างนอก มันคงคิดว่า ถ้ามันไม่พยายามเดินออกมา ก็คงจะลำบากน่าดูที่ใครจะไปเอามันไปฝั่ง มันลืมตา และอ้าปาก ทันทีที่ฉันเห็นมัน ฉันลูบหัวมันและปิดตามันลง ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น



ก่อนหน้านี้ฉันได้เตรียมใจไว้บ้างแล้ว ฉันจึงทำใจได้พอสมควร แต่เมื่อฉันฝั่งมันเสร็จ ความเศร้ามันก็ปรากฎออกมา ฉันนึ่งนึกถึงภาพของมัน ที่กำลังวิ่งเล่น กำลังนอนให้ฉันลูบหัว หรือ เกาคาง กำลังยืนนิ่งๆ ให้ฉันอาบน้ำ กำลังนั่งสวัสดีเวลาจะกินขนม กำลังเห่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมา กำลังนอนเฝ้าหน้าบ้านตอนกลางคืน กำลังวิ่งไล่คาบลูกแบด กำลังวิ่งเตะฟุตบอล กำลังดุโจโจ้ เท่านั้นล่ะ น้ำตามันได้หยดแหมะ เหมือนอย่างตอนนี้ที่มันกำลังหยด


บางทีมันเหมือนว่าฉันกำลังฝันอยู่ ฝันร้าย ฝันว่ามันจากฉันไปแล้ว แต่ความจริงคือ ฉันไม่ได้ฝัน มันเป็นเรื่องจริง และต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่ได้เห็นหน้ามันอีก พอคิดเช่นนี้ มันก็รู้สึกวูบ จากที่เคยอยู่ด้วยกัน กลับมาก็เห็นมันมายืนรอรับ แต่มันจะไม่มีแล้ว มันเศร้า


มันเป็นหมาที่ฉลาดตั้งแต่เด็ก ใครเห็นใครก็รัก มันขี้อ้อน ขี้เล่น มันเป็นมากกว่าหมา มันเป็นเพื่อนยามฉันรู้สึกอ้างว้าง มันเป็นยามประจำบ้านที่ดี มันเป็นพี่ชายที่ดีของโจโจ้ และมันเป็นที่รักของทุกๆ คน



หลับให้สบายนะทอง ถ้าชาตหน้ามีจริง ฉันหวังว่าเราจะเกิดมาใช้ชีวิตร่วมกันอีก ตอนนี้แกคงกำลังวิ่งเล่นข้างคุณยายอยู่ใช่มั้ย ก็ฉันฝั่งแกไว้ข้างๆ ศาลยายนี่


ฉันจะรักและคิดถึงแกตลอดไปนะ ลาก่อนเพื่อนรัก


 


::The Last Trip Of This Year::




เมื่อวานโอกาสเหมาะเจาะฉันเลยได้ไปโลดแล่นมา 2 ที่กับ 2 จังหวัด ไปสะพานข้ามแม่น้ำแควกับพระปฐมเจดีย์มาค่ะ หลังจากเคร่งเครียดกับ 2 สัปดาห์ของการสอบกลางภาคที่กระอักออกมาเป็นเลือด พอสอบเสร็จรู้สึกโล่ง แต่เดี๋ยวต้องไปนั่งลุ้นตัวโก่งอีกทีหลังปีใหม่กับคะแนนสอบทั้ง 6 ตัว



ออกเดินทางจากบ้าน 6 โมงเช้า สองถนนข้างทางยังมีไฟเปิดอยู่เป็นระยะๆ พื้นถนนมีรถไม่มาก ขับผ่านพอให้รู้ว่านี่นะถนน อากาศตอนเช้าก็ไม่ร้อน นี่แหละน้า...ข้อดีของการเดินทางตอนเช้า สำหรับฉัน ถ้าตื่นเช้าวันนั้นทั้งวันก็จะรู้สึกสดชื่น


ครั้งนี้ใช้พาหนะเดินทางไปกาญฯ ด้วยรถไฟ รู้กันมั้ยคะ นี่เป็นครั้งแรกเลยเชียวนะที่ฉันได้ลิ้มลองการขึ้นรถไฟ ปู๊นๆ เกิดมาจะย่างเข้าเลข 2 เพิ่งจะได้มาขึ้นก็เมื่อวานนี้แหละค่ะ ฉันเลยออกจะตื่นเต้นนิดๆ กว่าคนร่วมทางข้างๆ นิดหน่อย


  


รถไฟไทยยังเหมือนเดิมค่ะ ความตรงต่อเวลาหาไม่ได้ ตั๋วบอกออก 7.46 กว่าจะออกก็ปาไป 8.10 แล้ว แต่เผอิญอากาศดี และเลือกนั่งฝั่งที่ไม่โดนแดด เลยทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ นั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ลมพัดเข้าหน้ารับอากาศดีๆ ที่หาได้น้อยในกรุงเทพฯ 


 


ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็น 2 สาวชาวต่างชาติ คนนึงมากจากไต้หวัน ส่วนอีกสาวนี่คงแถบๆ ยุโรปหรือไม่ก็อเมริกา สาวไต้หวันหันมาถามถึงราคาตั๋วรถไฟว่า ของคนไทยเขาคิดกันเท่าไหร่ ฉันซื้อตั๋วไปสถานีสุดท้ายที่น้ำตกเลยก็ ราวๆ 30-40 บาท(จำไม่ได้ค่ะ!) แต่สำหรับคนต่างชาติฉันเพิ่งรู้จากสาวไต้หวันว่า มันตั้ง 100 บาท ฉันถึงกับอึ้งและรู้สึกอายแทนประเทศตัวเองที่หาเงินกับชาวต่างชาติเช่นนี้ ทั้งๆที่ เขาก็คนเหมือนกัน แต่อย่างว่าล่ะค่ะ ฉันก็(ต้อง)เข้าใจถึงระบบๆ นี้ ที่หลายๆประเทศก็ต้องชาร์ตเงินสำหรับค่าใช้บริการของนักท่องเที่ยวต่างถิ่น


 


ถึงแม้จะซื้อตั๋วถึงสถานีน้ำตก แต่ต้องจำใจลงที่สถานีสะพาน เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร กว่าจะถึงน้ำตก คงราวบ่ายๆ ถึงแล้วคงต้องตีรถกลับทันที เลยคิดว่าลงสะพานแล้วหาที่เที่ยวในเมืองดีกว่า


 


 


เมื่อวานแม่น้ำแควใส สวย กว่าครั้งก่อนที่มาเยือน เรียกว่าเทียบกันไม่ติด มองแล้วนึกว่าอยู่ยุโรปที่น้ำจะออกสีเขียวหน่อยๆ มองแล้วสบายตา และสบายใจ


 


เดินไปเดินกลับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ก็ถึงเวลาออกจากสะพานไปหาสถานีขนส่ง เพราะจะต้องรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน จะไปเที่ยวไหนจะได้กลับมาถูก เพราะบอกตรงๆว่า ไม่ได้วางแผนการเที่ยวในครั้งนี้มากนัก เลยออกจะมึนๆ งงๆ เสียหน่อย ใช้ถามทางชาวบ้านไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงสถานีขนส่ง


 


พอถึงปุ๊บ ความคิดมันปิ๊งว่า ถ้าเที่ยวในกาญฯ ต่อคงไม่มีอะไร เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่มันก็ไกลจากตัวเมือง ที่อยู่ใกล้ๆ ก็เป็นพวกสุสานเสียมากกว่า เลยนั่งรถทัวร์ไปนครปฐม ที่นั่นน่าจะมีอะไรให้ดูมากกว่า อย่างน้อยๆ ก็พระปฐมเจดีย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครปฐม 


 
น้องไอเลิฟยู (สังเกตตรงนิ้ว)


ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเคยมาพระปฐมเจดีย์หรือเปล่า แต่เท่าที่จำได้น่าจะไม่เคย ถึงแม้จะเป็นช่วงเย็นๆ แล้ว แต่ผู้คนก็ยังเข้ามากราบไหว้พระกันอยู่ มีทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ถึงคนชรา การปลูกฝังเด็กให้เข้าวัดบ่อยๆ น่าจะทำให้สังคมในอนาคตดีขึ้นไม่มากก็น้อย ฉันเชื่อเช่นนี้


 


จะถึงปีใหม่แล้ว เพื่อนๆจะไปเที่ยวที่ไหนกันคะ สงสัยฉันคงต้องอยู่บ้าน รออ่านไดฯของเพื่อนๆแน่เลย เพราะปีใหม่คนเยอะ อยู่บ้าน พักผ่อน เก็บแรงไว้ฟังผลสอบดีกว่า

::At Night In BKK::


เมื่อวันอังคารที่แล้ว มีโอกาสไปชมเมืองยามค่ำคืนมาล่ะค่ะ สวยงามมากๆ (แต่แอบคิดในใจว่าไม่รู้จะเปลืองค่าไฟของชาติไปเท่าไหร่ก็มิรู้) นั่งรถตุ๊กตุ๊กชมเมือง เพราะพาเพื่อนของพี่เที่ยว (ชาวต่างชาติ) พี่คนขับก็น่ารักมากๆเลย เดาว่าแกเป็นคนใต้ พอขับไปซักพักแกก็ไปรับแฟนแกที่รออยู่ ตอนแรกฉันก็ตกใจนิดๆ ค่ะ หยุดทำไมกัน แต่แบบพอเห็นแฟนแกเดินมานั่งข้างๆแก คุยกันกุ๊กกิ๊ก น่ารักมากๆเลยค่ะ แฟนแกยังหันมาส่งยิ้มหวานให้อีกรายรอบ ดูแล้วน่าอิดฉาไม่ใช่เล่น


มีรูปมาฝากด้วยนะคะ อาจไม่สวยเท่าไหร่ ก็อย่าว่ากันเน้ออออ....


 

 

 

 


ขอเม้าท์เพื่อนพี่หน่อยนะคะ แบบเฮียพูดเร็วมาก เร็วจริงๆ ฉันนี่ฟังแทบไม่ทัน จับคำไม่ได้เลย แบบเป็นอเมริกันของแท้เลยก็ว่าได้ โอ้แม่เจ้า หันมาคุยกับฉัน ฉันอยากเอาหัวกระแทกพื้นซีเมนต์ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง อยากหายไปซะตอนนั้น แล้วเฮียแกนี่พูดเร็วยังไม่พอ พูดเก่งด้วยค่ะ พูดน้ำไหลไฟดับ หันไปคุยกับคนนู้นที คนนี้ที มนุษยสัมพันธุ์เนี่ยให้เฮียได้โล่เลยค่ะ


พาเฮียไปหลายที่อยู่เหมือนกัน ไปพระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอนันตสมาคม วัดโพธิ์ วัดอรุณ ก่อนกลับมีดินเนอร์สุดหรู(หรอ?) ที่วังหลัง ตบด้วยนั่งรถชมเมือง ชมแสงสียามค่ำคืนรอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์


วันนั้นถือว่าเป็นวันที่ฉันค่อนข้างเหนื่อย ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเหนื่อยเหมือนกัน เพราะปกติฉันก็เที่ยวอย่างนี้บ่อยๆ แต่นี่อาจจะใส่สมองและประสาทส่วนการรับฟังมากไปหน่อย เลยล้า กลับบ้านหลับเป็นตายเลยค่ะ
  

ปล. วันนี้วันเกิดแม่ ยังไม่ได้แฮปเลย เพิ่งจะทะเลาะกันเอง

::วันหนึ่งวัน::


เคยคิดมั้ยว่า ... เกิดมาคุ้มหรือยัง??


ยัง เป็นคำตอบที่หนักแน่นและตอบได้ทันทีสำหรับฉัน อย่างว่าล่ะผ่านฝนมาเพียงไม่กี่ปีจะไปชีวิตให้มันคุ้มได้อย่างไร คุ้ม-ไม่คุ้ม ความหมายของมันก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนอีกล่ะ คุ้มยังไง คุ้มแบบไหน


ช่วงนี้ต่อมเที่ยวกำเริบมากๆ มือไม้ ขาสั่นดิ๊กๆ อยากไปเที่ยว ใจก็เพ้อไปถึงนู้นที นี่ที ยิ่งช่วงนี้เห็นพวก Backpacker บ่อยๆ ใจเตลิดทุกที คิดในใจว่า "แหม เมื่อไหร่จะถึงทีของเราน้า..."


มีอยู่หลายทริปที่ตั้งท่าจะไป แต่ก็ล้มไม่เป็นท่า เดี๋ยวติดนี่ ติดนู้น ฉันว่าง เพื่อนไม่ว่าง งบหมด วนเวียนอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือสวรรค์จะแกล้งฉันกันแน่!


วันนี้มีโอกาสได้คุยกับ Nice Sis นานๆซะที คุยหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเที่ยว ฉันได้ฟังคำหนึ่งจากปากของพี่สาวคนนี้ ถึงกับตกใจ "พี่ไม่อยากเรียนแล้ว" คำนี่แหละ ฉันไม่คิดว่า คำนี้จะพูดออกมาจากปากเค้า เพราะหลายๆ อย่างเป็นเหตุผลประกอบ ท่าทางช่วงนี้คงเรียนหนัก มีอะไรให้คิดเยอะเกินไปมั้ง หรือไม่ก็เอาใจไปจ่อกับบางสิ่งมากเกินไป


ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และกับทุกๆ คน ใช่ว่าฉันไม่เคย ฉันก็เป็นบ่อยๆ ที่มีความคิดเช่นนี้วิ่งปรู๊ดเข้ามา แต่ฉันพยายามเบรคมันไว้แค่ความคิด อย่าเชียวนะ อย่าเผลอให้ความคิดนี้มันสั่งให้ฉันปฏิบัติตามเชียวล่ะ


รู้มั้ยคะ ตอนที่ฉันกำลังนั่งรถกลับบ้าน ฉันคิดว่ฉันจะเขียนไดวันนี้เกี่ยวกับการเมืองที่ยิ่งแย่ขึ้นทุกๆ วันของประเทศไทย แต่ไหงลืมมันซะเฉยๆ ก็ไม่รู้ เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ เอาเป็นว่า แปะไว้ก่อนละกันนะคะ ฉันมีอะไรหลายอย่างเลยล่ะที่อยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมืองไทยหนอเมืองไทย

::เพียงเปิดใจ::


ฉันกลับมาแล้วค่ะ กลับมาอย่างเต็มตัว แถมด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก คิดถึงกันมั้ยคะ ฉันน่ะคิดถึงพี่ๆ เพื่อนๆ มากๆ ค่ะ มีเวลาก็แวะไปเยี่ยมเยียนบางคนบ้าง แต่ไม่ค่อยได้คอมเม้นต์เท่านั้นเองล่ะค่ะ



กลับมาอีกครั้งเพราะชีวิตมันอยู่ตัวแล้ว ไม่มีอารมณ์ที่เหงาจนจับใจ ไม่มีอารมณ์ที่บ้าบอคอแตก มีเพียงอารมณ์เรื่อยๆ ค่อยๆ ผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น (แม้บางวันจะเหมือนคนบ้า นั่งขำอยู่ทั้งวันก็ตาม <-- อย่างนี้ฉันยังเรียกว่าเป็นปกติอยู่ค่ะ!)


ช่วงก่อนหน้านี้ อารมณ์มันไม่ไหวเลย เครียดกับหลายๆเรื่อง เหมือนฉันจมอยู่ในความทุกข์ที่มืดมิด มองไม่เห็นแสงสว่างภายนอก แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ควรทำตัวและทำใจอย่างไร ให้ฉันเดินอยู่บนเส้นขนานของคำว่าทุกข์และสุข


การเปิดใจรับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ได้ ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในชีวิต ทำใจให้กว้างเข้าไว้ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ถือตัวเองเป็นคนสำคัญ แต่ก็ไม่ควรเอาใจใครคนหนึ่งมากเกินไป น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่รู้สึกเหมือนที่ฉันเคยเป็น การยึดติดกับหลักการหรือความเชื่อมั่นในตนเองมากไป ในบางครั้งใช่ว่ามันจะดี เราต้องผ่อนมันลงบ้าง บางอย่างมันตีงได้ แต่บางอย่างเราไม่สามารถตึงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จะเป็นตัวเราเองที่เจ็บและปวดเสียมากกว่า


ใช่ว่าฉันปลงแล้วกับเรื่องราวของชีวิตที่ได้เจอะเจอ แต่เพียงฉันเปิดใจยอมรับกับสิ่งที่เรียกว่ามายาในโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ได้แล้วต่างหาก


พอแล้วสำหรับความโดดเดียว อ้างว้างที่ซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจ ตอนนี้ขอต้อนรับเพื่อนใหม่คนเก่าก่อนที่ชื่อว่าความสนุกสนาน ร่าเริงบ้างละกัน ถึงแม้เพื่อนใหม่คนเก่ากำลังครอบคลุมจิตใจอยู่ ณ ตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ไปนานเท่าไหร่เหมือนกัน บอกตามตรงนะคะ ฉันก็กลัวว่าความโดดเดี่ยว อ้างว้างที่ซ่อนตัวเงียบๆ ภายในจิตใจของฉัน จะออกมาทำพิษฉันอีกครั้งเหมือนกัน ออกมาบ้างบางครั้งคราวน่ะไม่ว่ากันหรอกค่ะ แต่ออกมานานๆ เดินป้วนเปี้ยนแถวนี้นานๆ คงไม่ไหวล่ะ


เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ฉันไปร้านหนังสือเดินทางที่ถนนพระอาทิตย์มาค่ะ ไปเพราะจะไปซื้อหนังสือเดินทาง แล้วก็หนังสือทำมือเล่มนึง แต่ปรากฎว่าตอนนี้พี่หนุ่มแกไม่ได้ขายหนังสือทำมือแล้ว เหตุผลเพราะว่า เจ้าของหนังสือทำมือ ไม่ค่อยมาดูงานของตนเองซักเท่าไหร่ บางรายทิ้งไว้หลายปีไม่มาดูความคืบหน้าของงานตัวเองเลย พี่แกเลยไม่ได้วางขายแล้ว เสียดายจังค่ะ เพราะฉันน่ะ ตั้งใจไว้เป็นดิบดีว่า จะหาหนังสือทำมือที่เพื่อนฉันทำกลับไปนอนกอดที่บ้านให้ได้ แต่แล้ว...ฝันสลาย


ใช่ว่าจะโชคร้ายค่ะ อย่างน้อยๆ ฉันก็ได้รู้มาว่า ที่สวนสันติฯ จะมีงานมหกรรมหนังสือทำมือครั้งยิ่งใหญ่ (พี่หนุ่มแกบอกมาอย่างนี้) เกิดขึ้นเดือนหน้า ถ้าจำไม่ผิดวันที่ 13-15 ค่ะ (ขอเน้นอีกทีค่ะ ถ้าจำไม่ผิด) และแน่นอนล่ะค่ะ ฉันต้องไปแน่ๆ วันใดวันหนึ่ง แต่ดูแล้วว่าสงสัยจะต้องโดดเรียนไปล่ะคราวนี้! ใครที่ชอบหนังสือทำมือเหมือนกัน อย่าลืมไปดูงานนี้นะคะ


วันที่ไปร้านหนังสือเดินทาง เห็นกระดาษแปะที่บอร์ดว่า ทางร้านจะทำการย้ายร้าน อารมณ์แรกที่ได้อ่านรู้สึกอึ้ง เพราะไม่อยากให้ย้าย ร้านนี้อยู่กับถนนเส้นนี้มาก็หลายปีทีเดียว มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์เด่นๆ อย่างนึงเลยล่ะค่ะ มีป้อม มีสวนสันติ มีร้านมะตะบะ และก็มีร้านหนังสือเดินทาง มันรวมอยู่ตรงสุดปลายถนนเส้นแห่งความฝันของใครหลายๆคน ถนนที่มือชื่อว่าถนนพระอาทิตย์


ถึงแม้ว่าร้านจะไม่ได้ย้ายไปไกลสักเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ที่เดิม ไม่ใช่มุมเดิม บรรยากาศภายนอกไม่เหมือนเดิม แต่เชื่อย่างหนึ่งว่า เมื่อย้ายไปแล้ว บรรยากาศภายในยังคงเหมือนเดิม พร้อมเจ้าของคนเดิมค่ะ

::I Will Be Back Soon::


หลังจากที่พักไปยาวถึง2อาทิตย์ ในที่สุดก็ได้เวลาที่จะต้องกลับมาเสียที ช่วง2อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ออกไปโบยบินอย่างที่บอกไว้ ได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ หลายๆอย่าง ถึงแม้จะเหนื่อยกับการเดินทาง แต่ก็ยินดีและพอใจที่จะเดินต่อไป เพราะสิ่งที่ได้มามันช่างคุ้มค่ากับความเหนื่อยและหลายๆ สิ่งที่สูญเสียไป


ช่วงนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องปรับปรุง แก้ไข และเปลี่ยนแปลง คงต้องใช้เวลากับตัวเองอีกซักพัก ดังนั้นฉันขอโทษด้วยถ้าไม่ได้ไปทักทายคุณในไดอารี่ แต่ฉันคิดว่าหลังจากเดือนนี้ไป อะไรๆ คงลงตัวมากขึ้น เมื่อถึงวันนั้น ฉันก็จะกลับมาอย่างเต็มตัวค่ะ


Take care and good luck :) I'll be back soon.