This Is Who I Am


 



Two weeks ago, I filmed a short video about misunderstanding theme. I have to thank you my teammates, Aae and Som-O that they brought their friends to help us. Particularly, Foong who played as the lead actor and Tor who was a cinematographer in that day. I think we did pretty well. Only voice recording was an issue.

This filming made me realize that I can't be everything at time. And sometimes it's okay to be like that. It's better if I do what I'm good at. It's photographer and editor, not cinematographer.

::ก้าวเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่เกินตัว::




ยิ่งโต จุดมุ่งหมายในการเดินทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เราไม่ได้หมายความว่าเรารักสบายมากขึ้น
เรายังคงชื่นชอบการผจญภัยในที่ๆ ทุระกันดาร
ยิ่งไปยาก ยิ่งหายาก ยิ่งได้มายาก มันยิ่งท้าทาย
เราไม่ชอบนอนโรงแรมติดดาวมากมาย
ไม่ชอบไปในที่ๆ ดูไฮโซหรูหรา
ไม่ชอบที่ต้องแต่งตัวและทำตัวให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา
เราเขิน เราอาย เราอึดอัด เราทำตัวไม่ถูก

เราคุ้นชินกับการนอนโรงแรมน้อยดาว นอนโฮสเทลถูกแต่ดี
ชอบไปในที่ๆ ไม่ต้องเก็บกริยามารยาท
อยากหัวเราะเสียงดังก็ไม่ต้องหันไปมองว่ามีใครจับตาดูอยู่รึเปล่า
ชอบแต่งตัวธรรมดามากๆ แต่มันคล่องตัวในการบุกป่าฝ่าดง
เรารู้สึกคุ้นเคย คุ้นชิน และเป็นกันเองกับสถาณการณ์แบบนี้มากกว่า

ที่เราบอกว่าเปลี่ยน
เราหมายถึงเราให้ความสนใจกับคนท้องถิ่นมากขึ้นกว่าเดิม
เรารู้สึกได้ว่าเราให้ความสำคัญกับภูเขา ทะเล แม่น้ำ น้ำตก ตึกราบ้านช่องน้อยลง
ใช่ มันสวย มันทำให้เราตื่นตาตื่นใจ เดินมาห้ากิโลฯ สิบกิโลฯ แล้วเห็นมันก็ยังรู้สึกหายเหนื่อย
แต่วิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในถิ่นต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็สะกิดอะไรในใจเราไม่น้อย
เรายังคงชื่นชอบธรรมชาติ ยังคงขวนขวายที่จะเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปเจอน้ำตก เทือกเขาสวยๆ
ยังคงขวนขวายที่จะเดินทางข้ามทะเลเพื่อไปเกาะน้อยใหญ่ ที่สงบเงียบ
ส่วนสิ่งที่เพิ่มมาในทุกวันนี้คือเราสามารถเดินชมความขวักไขว่ในตัวเมืองต่างๆ ได้อย่างสนุกสนาน
อาจจะเป็นเพราะเราปรับตัวและเปิดใจกว้างในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้น

เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน
หากสิ่งที่เปลี่ยนทำให้เราอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างสบายใจและมีความสุขมากขึ้น

มีความลับอยากจะบอก เราเขียนบันทึกนี้เพื่อกระตุ้นต่อมเดินทางให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
มันเฉา มันเหงา มันวังเวง มันไร้ความตื่นเต้น มันไม่ใช่น่ะค่ะ ไม่ใช่!!!!

ขอให้ต่อมกระหายในการเดินทางจงสิงสถิตย์ในใจลูกอีกครั้ง สาธุ
สาวน้อยตาพระจันทร์เสี้ยว (ทำอะไร ไปไหน อย่าลืมลืมตา - เสียงไกลๆ จากเดนเวอร์)

::To Celebrate World Cup::





I really love his idea. Superb!!!

::Rip Curl Pro Bells Beach 2014::




แม้การศึกษาคือเหตุผลหลักของการย้ายถิ่นฐานชั่วคราวมาออสเตรเลีย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวของการเดินทางมาที่นี่ เรายังคงตั้งมั่นในการเดินทางรอบประเทศที่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของโลกแห่งนี้ เรายังพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นชิน เราพร้อมที่จะคว้าทุกโอกาสที่พุ่งเข้ามา เฉกเช่นเดียวกับการลองผจญภัยในเส้นทางแปลกใหม่

Easter Saturday ที่ผ่านมา เรานั่งรถไฟจากบ้านผ่านตัวเมืองเพื่อเดินทางไป Geelong ต่อรถประจำทาง และกระโดดขึ้นรถ free shuttle bus มุ่งหน้าสู่ Bells Beach สถานที่แข่งขันเซิร์ฟระดับโลกโดยมี Rip Curl Pro เจ้าภาพ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 53 แล้ว

เราไม่แน่ใจนักว่าเราสนใจกีฬาชนิดนี้มานานมากเท่าไหร่ เราเพียงรู้ว่ามันค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในใจเราทีละเล็กทีละน้อยในช่วงวัยเยาว์ และพุ่งพรวดโจนทะยานในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา  

เนื่องจากวันพฤหัสและศุกร์สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ทั้งสองวันกลายเป็น lay day ของการแข่งขัน เช้าตรู่วันเสาร์เราจึงตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อเช็คโปรแกรมการแข่งขันให้ แน่ใจว่ามัน on หรือ off ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เป็นใจ การแข่งขันเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ระหว่างแต่งตัวเราก็ดูถ่ายทอดสดไปด้วย Nat Young หนึ่งในนักเซิร์ฟคนโปรดของเราก็ทำได้ดีในรอบนั้น แม้วันนี้จะตกรอบสามไปแล้วก็ตาม

จากบ้านที่ Glenferrie เรานั่งรถไฟไปลงที่ Southern Cross สถานีรถไฟที่มีกลิ่นอายของหมอชิตใหม่ลอยอยู่จางๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการรถไฟ V/Line (ไป-กลับ $15.68) เราชอบบรรยากาศระหว่างทางมาก มีแต่ทุ่งนา มองแล้วสบายตาสบายใจ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ใจเราย้ำเตือนให้ตัวเรารู้ว่าถึงแม้เราจะเกิดในเมือง ใหญ่แต่ตัวตนของเรากลับไม่ใช่คนที่สามารถทนทานกับความวุ่นวายแบบนั้นได้นาน นัก

หนึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินเราก็มาถึง Geelong เราต้องรีบออกจากสถานีเพื่อสอดส่องที่จอดรถประจำทางสาย 74 Geelong-Torquay-Jan Jac (ไป-กลับ $4) หากใครเดินออกทางเข้าออกหลักก็จะเจอที่จอดรถประจำทางอยู่ตรงหน้าเลย แต่หากใครออกประตูเล็กเหมือนเราก็เดินตรงแล้วมองขวาไว้ ไม่ไกลเลยเราก็จะเห็นรถประจำทางหลายสายจอดรอเราอยู่

คงเพราะเป็นวันหยุดยาวและประกอบกับที่สองวันก่อนงดการแข่งขัน วันเสาร์ที่ผ่านมาทั้งวัยรุ่นออสซี่และหลายเชื้อชาติต่างพากันมุ่งหน้าไปร่วมงาน หมุดที่ปักไว้ในแผนที่ในหัวแทบไม่ต้องใช้เพราะเมื่อถึงเวลาจริง พวกเขาลงที่ไหนเราก็ลงตามเขาไปนั่นแหละ

สี่สิบห้านาทีผ่านไป ผู้โดยสายค่อนรถลงที่ป้ายรถประจำทางเยื้อง Surf City ซึ่งเป็นที่จอดรถ free shuttle bus โดยรถจะออกทุกๆ ชั่วโมง แต่มีบริการเฉพาะช่วง long Easter weekend ที่ผ่านมาเท่านั้น หากวัดจากระยะทางที่ห่างกันไม่ถึงสิบกิโลเมตร เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง Bells Beach เพราะรถเยอะมาก นี่อาจจะเป็นการไปงานเทศกาลที่นี่ครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจขนาดนี้ ไม่สิ! อาจจะน้อยกว่า St Kilda Festival หน่อยนึง

รถลงปุ๊บก็เดินไปต่อคิวซื้อตั๋วเข้างาน แถวยาวมากแต่ไม่ใช้เวลานานอย่างที่คิด ถ้าใครมางานวันเดียวแบบเราค่าเข้าอยู่ที่ $8 ส่วนใครจะมาเกินสามวันก็ซื้อตั๋วแบบ festival pass $25 จะคุ้มกว่า ประเด็นอยู่ที่ลูกเด็กเล็กแดงไม่เกินสิบหกขวบ"ฟรี"

บรรยากาศในงานสนุกสนาน คนเยอะกำลังดี อากาศก็ไม่ได้เลวร้าย ลมพัดทีก็หนาว แดดออกทีก็ร้อน เผลอแป๊ปเดียวฝนก็พรำเม็ดเบาๆ นี่แหละรัฐ Victoria

เจอกันปีหน้าอีกนะ :)

::ความสวยงามของธรรมชาติไม่ต้องการเส้นกริด::




ทำไมคนเราต้องสร้างข้อแม้ให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากมาย

ทำไมต้องไปทะเลเพียงช่วงฤดูร้อน
ทำไมต้องไปเชยชมภูเขาเมื่อลมหนาวเข้ามาทักทาย
ทำไมเมื่อยามฝนโปรยถึงกลายเป็นช่วงเวลาตกต่ำของการเดินทาง

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตรงกันข้าม
ฉันพอใจและสนุกสนานกับการได้ออกเดินทางในฤดูฝน
แม้อะไรหลายๆ อย่างอาจดูขมุกขมัวไปหมด
แต่นี่แหละคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของธรรมชาติที่ใครหลายคนมองข้าม

ภูเขา น้ำตก และสายธาร
แม้จะดูแห้งแล้งในช่วงไร้ฝนและไม่โรแมนติกเท่าช่วงลมหนาว
แต่ลมร้อนที่พัดจางๆ ก็สร้างอีกหนึ่งบรรยากาศที่แปลกใหม่ให้กับผู้ที่ได้ไปเยือน

หาดทรายและท้องทะเลก็เช่นกัน
แม้ในวันฝนพรำหรือวันที่ลมหนาวทำงานอย่างแข็งขัน
แม้สีฟ้าครามสดใสของท้องฟ้าเบื้องบนและน้ำทะเลเบื้องล่างจะถูกลดทอน
แต่บรรยากาศสีเทาเบื้องหน้าก็ไม่สามารถทำลายความสวยงามของธรรมชาติได้อยู่ดี

::บันทึกไม่ลับในวันที่ไร้หยดฝนบนดอกหญ้า::


หากนี่คือวันอาทิตย์ในมหานครกรุงเทพ
ฉันคงหยิบหนังสือสารคดีท่องเที่ยวสักเล่มที่ยังอ่านไม่จบ
สมุดบันทึกเล่มเก่า ดินสอดีๆ สักแท่งใส่กระเป๋าสีน้ำตาลใบย่อม
สวมเสื้อยืดตัวเก่ง กางเกงขาสั้นคู่ใจ ใส่รองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดนัด
และถ้าอากาศดีแบบวันนี้ฉันคงคว้ากล้องถ่ายรูปคู่กายไปด้วยแน่ๆ

ทุกครั้งที่ฉันได้มีเวลานั่งคิดทบทวน
สิ่งแรกที่ฉันรู้และตระหนักได้ทุกครั้งคือกาลเวลาไม่เคยรอใคร
ห้าเดือนแล้วสินะกับการใช้ชีวิตในดินแดนใต้เส้นศูนย์สูตรแห่งนี้
มันเร็วจนน่าใจหาย มันเร็วจนฉันแทบไม่ได้ตั้งตัว
ไม่ง่ายเลยที่จะคว้าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาเก็บไว้

ฉันเคยคิดว่าฉันจะทำได้ดีกับการใช้ชีวิตที่นี่
แต่ความจริงนั้นกลับตรงกันข้าม ฉันตัดสินใจพลาดหลายครั้ง
ตกม้าตายในสถานการณ์ที่สมควรจะควบม้ากระโดดผ่านไปอย่างไร้ที่ติ
แต่นี่แหละ นี่แหละคือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าชีวิต

ฉันเรียนหนัก มันหนักมากสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจชีวิตในห้องเรียนอย่างฉัน
ห้าปีกับปริญญาตรีเทียบไม่ได้เลยกับการเรียนภาษาที่นี่
แต่นี่คืออีกหนึ่งทบเรียนชีวิตที่ฉันกำลังพิสูจน์ว่าหากฉันขยันและตั้งใจ
แม้ไม่ได้ดีเกินกว่าใคร แต่ฉันก็ทำได้ดีพอในแบบฉบับของฉัน

การแบ่งเวลาคือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากระยะเวลาห้าเดือนที่อยู่ที่นี่
ฉันใช้ชีวิตในห้องเรียนและไม่ลืมที่จะออกไปเก็บเกี่ยวชีวิตนอกตำรา
ผู้คน ภาษา และวัฒนธรรมต่างถิ่นสอนให้ฉันเปิดใจและเข้าใจโลกมากขึ้น
แม้ประสบการณ์เดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งที่ผ่านมาของฉันได้สอนหลายสิ่งอย่าง
แต่วันนี้ฉันกล้าบอกเลยว่ามันสู้ไม่ได้เลยกับการได้ลองใช้ชีวิตในดินแดนที่ไม่คุ้นชินอย่างจริงจัง

นี่คือวันอาทิตย์ในดินแดนใต้เส้นศูนย์สูตร
ฉันหยิบ The Kite Runner ที่อ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้า
ในขณะที่อีกมือมีสมุดบันทึกเล่มใหม่สีเขียว ปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน
สวมเสื้อยืดแขนยาว กางเกงขาสั้นคู่ใจ ใส่รองเท้าแตะหนีบที่ใกล้ลาโลกเต็มที
แม้วันนี้อากาศดีแต่ฉันก็เลือกที่จะเก็บภาพถ่ายในวันนี้ด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือ




แด่เธอ, พี่สาวผู้ที่อยู่ห่างไกลกันเกินครึ่งฟ้า
แด่เธอ, สาวเหนือผู้มาพร้อมรอยยิ้มสบายตา
แด่เธอ, หญิงสาวผู้หลงใหลในภาพถ่ายขาวดำ
แด่เขา, หมีหนุ่มที่เป็นมิตรที่สุดในจักรวาล

ด้วยรักที่มากมายและคิดถึงที่เกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย
กุญแจ : )