::Under Construction::
ปีที่ผ่านมาเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหลงทาง เลยมาจนถึงกลางปีนี้ ฉันก็ยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ แต่มาคิดๆ ดูอีกทีก็ว่าดีเหมือนกัน ณ เวลานี้ ณ ที่ตรงนี้ ฉันรู้เลยว่าฉันเองหลงมาไกล การที่ได้เจอผู้คนใหม่ๆ ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ไม่เคยปรารถนา ก็ยิ่งทำให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น มั่นใจในสิ่งที่ชอบมากขึ้น และรู้ว่าสถานที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของฉันจริงๆ
ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นั่นแหละว่า หากไม่เคยล้มจะลุกเป็นได้อย่างไร หากไม่เคยถูกขัดใจก็คงจะไม่ได้ลิ้มรสความพอใจจริงๆ
ฉันเชื่อว่าทุกคนมีบางสิ่งที่ต้องทำและรับผิดชอบ บางคนโชคดีหน่อยที่บางสิ่งที่ว่าคือสิ่งที่ฝัน แต่กับบางคน หากสิ่งนั้นไม่ใช่ความฝันของเราก็ไม่เป็นไร แค่เพียงอย่าละทิ้งฝันก็พอ ใช้วิธีลดเวลาให้กับความฝันลงสักนิด แล้วค่อยๆ ก่อฝันไปทีละหน่อย อาจไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้เหมือนคนอื่นเขา แต่สักวันเราก็จะได้เห็นรูปเห็นร่างของมันเหมือนกัน
และสักวัน ฉันก็จะเห็นรูปร่างของความฝันที่ฉันกำลังค่อยๆ ก่อขึ้นเช่นกัน "My dream is under construction" ;P
ช่วงนี้บ้านเมืองเราไม่ดีเลยเนอะ เหมือนจะดีขึ้นมานิดนึง แต่แล้วก็กลับกลายเป็นแย่ลงยกกำลังสอง พอกฎหมู่มันอยู่เหนือกฎหมายอะไรหลายๆ อย่างก็ยากที่จะจัดการ แต่ฉันก็เชื่อว่าทุกๆ อย่างมันมีระยะเวลาของมัน ขอเพียงแค่อย่าหยุดเดิน อย่าหยุดพยายาม อย่าสิ้นหวัง สักวันเราจะเห็นอะไรที่ดีขึ้นในประเทศของเราอย่างแน่นอน
การเปลี่ยนแปลงก็คล้ายๆ กับความฝันที่ฉันจะไม่ขอให้มันเป็นจริง แต่ฉันจะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นจริง ถึงแม้ต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม "Thailand is under construction"
::ผ่านพบมาหลงรัก::
เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ การเดินทางไปไหนมาไหนเลยอยู่ที่ปาก โชคดีที่พนักงานในโรงแรมน่ารักและเป็นกันเอง พยายามช่วยเหลือบอกสถานที่เล่นที่กินให้รายละเีอียดดีเหลือเกิน โดยเฉพาะพ่อหนุ่มเบลบอยน่าตากรุ้มกริ่มช่วยบอกเส้นทางได้มาก และที่ๆ เขาแนะนำมาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ

ฉันเลือกที่จะนั่งรถสองแถวรอบเมืองแทนรถสกายแล็ป นอกจากราคาจะถูกกว่าแล้วยังทำให้ฉันเห็นสภาพบรรยากาศในตัวเมืองเต็มๆ นั่งรับลมเย็นไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่เร่ง เหมือนเป็นการนั่งรถรางชมตัวเมืองกรุงเทพฯยังไงยังงั้น หากแต่ดีกว่าตรงที่อากาศเย็นกว่า ผู้คนน้อยกว่า รถราไม่มากเท่า ซึ่งทำให้ไม่ต้องสูดดมเขม่าควันเข้าไปเยอะเหมือนอยู่กรุงเทพฯ

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฉันก็มายืนอยู่ที่สถานีขนส่งเก่าของที่นี่ ช่วงเย็นๆ อย่างนี้ทั้งผู้คนที่เตรียมเดินทางและผู้คนที่เพิ่งมาถึงเดินกันขวักไขว่กันเต็มไปหมด บรรยากาศโดยรอบก็ไม่ได้ต่างจากสถานีขนส่งอื่นๆ มากนัก ทุกบริษัทรถทัวร์ต่างพยายามหารายได้เข้ากระเป๋ากันอย่างขมักเขม้นเหมือนเดิม! ขากลับกรุงเทพ ฉันเลือกที่จะนั่งรถไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเลย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ามันอยู่ใกล้บ้านมากกว่าสถานีขนส่งหมอชิต แต่อยากจะบอกจริงๆ ว่าพนักงานบริการแย่อย่างถึงที่สุด เท่านั้นยังไม่พอ ผู้ร่วมเดินทางด้านหน้าก็ยังมารยาทแย่ไม่แพ้กัน ตอนเด็กๆ เขาอาจไม่เคยร้องเพลง "ความเกรงใจ"
ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี
ตรองดูสิทุกคนก็มีหัวใจ
เกิดเป็นคนถ้าหากไม่เกรงใจใคร
คนนั้นไซร้ไร้คุณธรรมประจำตัว
แต่ถึงแม้จะไม่เคยร้อง ความเกรงใจก็น่าจะอยู่ในจิตสำนึกของทุกๆ คนอยู่ดี :(

หลังจากเสร็จสิ้นการจองตั๋วรถทัวร์ ฉันก็เดินไปถามคุณน้าในร้านสะดวกซื้อว่าถ้าจะไปหนองประจักษ์ต้องนั่งรอสายอะไร แต่คุณน้าแนะนำว่าให้ฉันนั่งรถสกายแล็ปไปจะดีกว่า เพราะมันเย็นแล้ว รถไม่ค่อยวิ่งก็เลยทำตามที่เขาแนะนำ จำไม่ได้แล้วว่ากี่บาท แต่อยู่ราวๆ 40-60 นี่ล่ะ

หนองประจักษ์ เห็นปุ๊บฉันก็หลงรักปั๊บเลย มันเป็นหนองน้ำใหญ่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองอุดร แถวนั้นมีร้านอาหารให้เลือกมากมายหลายแบบ แต่ฉันสังเกตว่าคนอุดรฯรักสุขภาพ เพราะเห็นได้จากมีร้านน้ำผลไม้ปั่น และผลไม้สดเรียงรายเต็มไปหมด มื้อเย็นฉันเลือกที่จะกินจิ้มจุ่มเพราะดูแล้วท่าทางต้องอร่อยมากแน่ๆ และไม่ผิดหวังค่ะ ฉันยังติดใจอยากจะกลับไปจิ้มแล้วจุ่มอยู่เลย อ้อ! รวมถึงเอาเข้าปากด้วยนะ ;P เห็นว่ายังไม่ดึกมาก ก่อนกลับเข้าที่พักเลยได้เดินเล่นรอบๆ หนองประจักษ์ และยังไม่ลืมที่จะเดินไปถามร้านกาแฟเล็กๆ แถวนั้นถึงเวลาเปิด-ปิด เพราะตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นคงจะไม่ไปไหน จะมานั่งๆ นอนๆ เขียนโปสการ์ด ถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศอยู่แถวนี้นี่แหละ




มองไปมองมาดวงตาคู่น้อยๆ ก็ไปบรรจบวัดๆ หนึ่ง ชื่อวัดโพธิสมภรณ์ซึ่งสวยสมกับเป็นวัดหลวง พอดีมีรูปท่านเจ้าอาวาสแปะอยู่บนบอร์ดกิจกรรมของทางวัด ท่านเจ้าอาวาสดูใจดีมากเลย ตอนยืนดูรูปก็อดยิ้มไม่ได้ : )


ตลอดระยะเวลาเกือบอาทิตย์จากกรุงเทพ-เชียงคาน-อุดรธานี ฉันมีความสุขมาก แม้จะเหนื่อย จะล้า จะตกใจ หรือเสียใจในบางเหตุการณ์ บางสถานที่มันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แล้วกลับแฝงเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอยู่ภายใต้ความธรรมดานั้น คงจะเหมือนคนเรานี่ล่ะ ที่ภายนอกอาจจะดูไม่น่าสนใจนัก แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกัน ได้ฟังเรื่องราวในตัวของเขา เราจะพบว่าเราได้หลงเสน่ห์เขาจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว


ขอบคุณสำหรับทุกๆ คำอวยพรในวันปีใหม่
ขอบคุณสำหรับทุกๆ โปสการ์ดและจดหมายที่ส่งมาให้นะคะ
มันคือของขวัญต้อนรับปีใหม่ที่มีค่ามาก
=)
::Try Try Try::
T-R-Y
Oh baby we can fight like dogs we can fight like cats
a dirty laundry needs a laundry man
Maybe the king and the queen should lay off the caffeine
Baby breathe before you react
Sometimes we do forget to behave
and we regret what we say
cause words are too weapons
If we don't choose'em carefully
ladies and gentlemen this is instrumental
if life's to be a bed of roses
I know I gave you everything you like
because you still give me butterflies
if we just try try try
just to be ni-ni-nice
then the world would be a better place for you and I
if we just live our lives
putting our differences aside
oh that would be so beautiful to me
Are we just dangling in the middle of a galaxy
Well i'm stoked on gravity
To be stuck with you like flowers on the dew drops
Now let it in my direction
My direction is up when everybody's down
cause i don't mind being anybody's clown
I love a little lift cause i'm an optimistic
In an altruistic way
Cause basically this place is needing instruments of harmony
Spreading my philosophy of love and inspiration
Oh these words I speak I commit to like a crime
with a rhythm i deliver i'm giving them a picture
of the reasons why
We should just try try try
Just to be ni-ni-nice
So the world could be a better place for you and I
If we just live our lives
Putting our differences aside
Oh that would be so beautiful to me
well it wouldn't cost a penny but could save so many lonely lives
from teary eyes
if we just try try try
to open up a can of understanding open up your heart
i'm just planting seeds
cause i believe
We could just try try try
Just to be ni-ni-nice
So the world would be a better place for you and I
If we just live our lives
Putting our differences aside
Oh that would be so beautiful to me
if we could try, just to be nice
that could be so beautiful to me
I believe,
Oh that could be so beautiful to me
::2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง::
เด็กๆ มักจะมีความสุขกับเทศกาลต่างๆ แต่สำหรับคนบั้นปลายชีวิตเทศกาลหนึ่งผ่านมาเปรียบเสมือนว่าเวลาที่จะมีชีวิต อยู่กับลูกหลานก็ลดน้อยลงไปอีกปี
.....
เมื่อวานสอบวันสุดท้าย แต่จิตใจไม่ได้อยู่ที่ข้อสอบ มันลอยล่องไปถึงคิวพักผ่อนหลังสอบเสร็จเสียแล้ว
อาหารมื้อกลางวัน
หนังรัก The Holidays
ท่าพระจันทร์ วังหลัง
ชาเย็น Black Canyon
McDonald มื้อค่ำ
Christmas Tree at Central world
Internet ยามดึก
และ NiceSis

.....
ลองมานั่ง
ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไปในปีนี้ดู
มันก็ถือว่าเป็นปีที่ใช้ได้เลยทีเดียว อาจจะเพราะมีบทเรียนมาแล้วจากปีก่อน
ที่ถือว่าเป็นปีที่ตกอับ คอตก ทุกข์ทรมาน พอมาปีนี้อะไรหลายๆ
อย่างมันลงตัวขึ้น สามารถปรับตัวเองได้มากขึ้น ปีนี้ ..
สุขจนกลัวว่าเราจะไม่รู้สึกมีความสุขอะไรอย่างนี้อีกแล้วในวันถัดไป
เศร้าเสียใจ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว และเรื่องความรู้สึกที่สับสนในตัวเอง
ภูมิใจและท้อแท้อะไรหลายๆ สิ่งที่ตัวเองทำได้และทำไม่ได้
ผิดหวัง สมหวัง มีกำลังใจ หมดกำลังใจ
แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ผ่านมาได้ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ยังไงซะมันก็ทำให้เห็นว่าทุกปัญหามันก็มีทางออกของมันเสมอ
2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง :)
::ทะเลธันวา::
ทุกวันนี้เลยพยายามจัด เวลาให้ดี ไม่ทำตัวปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนตอนนี้หวงเวลา ไม่อยากให้มันผ่านไปโดยไร้ค่า แต่ใครจะไปห้ามมันได้ ที่จริงแล้วเวลามันไม่ได้เดินเร็ว มันก็เดินติ๊กตอกๆ ของมันไปเรื่อย มีเพียงตัวเราที่ไม่มีจังหวะในการเดิน ไม่สามารถเดินติ๊กตอกๆ อย่างมันได้ เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว
.....
หลายวันก่อนไปนั่งพักกาย ผ่อนใจที่ทะเล ถึงแม้หาดทรายจะไม่ขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลจะไม่สวยสีฟ้าใสอย่างทะเลทางภาคใต้ หรือตามเกาะต่างๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีไม่ใช่น้อย แอกที่แบกอยู่บนบ่าเหมือนหายไปชั่วคราว

ตอนกลางคืนเดินรับลมก่อน นอน ได้ยินกลุ่มข้างๆเค้าคุยกันว่าวันนี้ลมทะเลไม่เหนียวตัวเลย ซึ่งมันก็ จริง ไม่เหนียวตัวจริงๆ (นี่ถ้าไม่ได้ยินเค้าพูดกัน ฉันก็จะไม่รู้สึกว่ามันไม่เหนียวตัวนะเนี่ย .. ความรู้สึกตายด้าน!!)

อากาศช่วงเช้าที่นี่ถือได้ว่าเย็นพอรู้สึกได้ แต่พอช่วงกลางวันก็ไม่ต่างกับกรุงเทพมากนัก แต่น่าจะร้อนน้อยกว่า
ตอนเช้าในขณะที่กำลังรอ
คอยแสงตะวัน
พบกับเด็กผู้หญิงคนนึงเดินแบกห่วงยางสีดำอันใหญ่สำหรับให้คนเช่าเดินไปเดิน
มา ทีแรกเดาว่าน่าจะราวๆ 10 ขวบ เพราะดูลักษณะยังเด็กอยู่
เลยเดินเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าน้องเค้าอายุ 13 อยู่ ม.1
แล้วถามน้องเค้าอีกว่าแล้วพ่อแม่ล่ะ(เพราะเห็นแบกอยู่คนเดียว) น้องเค้าบอก
"ตายหมดแล้ว" ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร
เพราะแค่ได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกช็อคแล้ว ตอนนี้น้องเค้าอยู่กับป้า
หลายๆ ครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อย มีแต่ปัญหาเข้ามาเสมอๆ แต่ลองมองไปไกลๆ มองคนที่แย่กว่าเรา ไอ้ปัญหาที่เรามีอยู่มันช่างจิ๊บจ๊อยจริงๆ
.....
แม่เคยบอกว่า "รู้สึกสูงค่าให้มองขึ้นฟ้าเพราะยังมีคนที่ดีกว่าเรา แต่ถ้ารู้สึกต่ำต้อยก็ให้มองลงดิน อย่างน้อยๆ ก็มีคนที่แย่กว่าเรา" หลายๆ ครั้งที่แม่บอกอะไรมาล้วนแต่ใช้ได้จริง
"ความรู้รู้เท่าที่เรียน ปฏิภาณความเพียรไม่เรียนก็รู้" เป็นคติที่พ่อใช้สอนฉันเสมอ คตินี้พ่อได้มาจากแม่ซึ่งตาเป็นคนสอนแม่ตอนตายังมีชีวิตอยู่
แม้คนเราไม่มีตัวตนแล้ว แต่สิ่งๆ หนึ่งยังคงอยู่ ถ้าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อคนในยุคต่อมา ...
.....
ปล. วันก่อนที่จะออกเดินทางได้รับโปสการ์ด3ใบรวด จากคนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนอีกส่วนหนึ่งของตัวฉัน ขอบคุณมากนะ

::The Radio : ผี::
วานก่อนตอนเช้าก่อนไปเรียน เปิดวิทยุฟังเพลงไป แต่งตัวไปตามปกติ บังเอิญเปิดไปตอนดีเจเล่าเรื่องผีอยู่พอดี
ผีที่ว่าไม่ใช่ผีตานี ผีกองกอย ผีจีน ผีฝรั่ง ผีไทย หรือผีชาติไหนก็ตาม สรุปคือไม่ใช่ผีที่เป็นมนุษย์นั่นเอง
แล้วผีที่ว่าเป็นผีอะไร่ล่ะ ???
.....
ไอ้ผีที่ว่าคือผีสัตว์ที่เรากินมันเป็นอาหาร อาทิ
ผีไก่ย่าง
ผีปลาทอด
ผีกุ้งเผา
ผีปลาหมึกย่าง
ผีวัว
ผีหมู
และอีกนับนานาผีสัตว์ที่เราได้เขมือบลงกระเพาะไป
.....
เรื่องมันมีอยู่ว่าดีเจ คนนี้เป็นคนกลัวผีมาก แล้ววันหนึ่งเค้าได้ฟังข้อคิดจากเพื่อนสนิทของเค้าซึ่งเป็นนักเขียนคนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เคยได้รางวัลซีไรต์ และเสียชีวิตแล้ว) เพื่อนของเค้าชอบเดินป่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลัวผีแต่ก็มีหวั่นๆ บ้างเวลาเดินป่าคนเดียว นอนป่าคนเดียว
หลังจากนั้นเพื่อนของ เค้าก็คิดได้ว่าเราจะกลัวไปทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ผีพวกนั้นเสียหน่อย ถ้าจะกลัวจริงๆ ทำไมเราไม่กลัวผีสัตว์ที่เรากินเป็นอาหารอยู่ทุกวัน เพราะสัตว์เหล่านี้ก็มีชีวิตเหมือนกัน เรากินมันเข้าไป มันน่าจะแค้นเรามากกว่า
จากที่จะกลัวโดนผีซึ่ง เป็นคนมาบีบคอ หรือมาหลอก เราน่าจะกลัวผีไก่ย่างที่ออกจากปากแล้วมาจิ๊กเรามากกว่าเวลาเราหลับแล้วลืม หุบปาก เราน่าจะกลัวผีปลาหมึกย่างที่เราเพิ่งกินไปเอาหนวดมารัดคอเรามากกว่า ทำไมเราไม่กลัวผีกุ้งเผาที่มาร้องห่มร้องไห้ว่า "กินชั้นไปทำไมๆ" นับ 10 ตัว แล้วไหนจะผีปลาทอดที่ตั้งแต่เกิดมากินไปแล้วไม่รู้กี่ตัว ผีหมูอู๊ดๆ ผีปูกล้ามโต ผีวัว(ถ้าใครกิน)ตัวไม่ใช่เล็กๆอีก
นึกดูแล้วถ้ากลัวจริงๆ ผีสัตว์น่ากลัวกว่าผีคน!!!
เห็นว่าเป็นข้อคิดที่ดี เลยนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ตอนฟังนี่ขำกลิ้ง "ผีไก่ย่างออกมาจากปาก" คิดได้ไง!!!
.....
ตอนกำลังตากผ้าหันไปเห็นผีเสื้อหลายตัวบินไปบินมาอยู่ตรงพุ่มไม้หน้าบ้านพอดี เลยเก็บรูปมาฝากค่ะ

Subscribe to:
Posts (Atom)