::Shopping Shopping::


วันนี้นะ เป็นวันที่ฉันค่อนข้างมีความสุขวันนึงเลยล่ะ
.
.
.
รู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้เขียนเรื่องราวที่สนุกสนานลงในไดอารี่มานานมากแล้ว เพราะทุกทีมีอะไรก็จะระบายที่นี่ ไหนๆ วันนี้มีความสุข ไดอารี่ก็คงอยากมีความสุขด้วยเหมือนกัน ใช่มั้ยล่ะ ...
วันนี้ไม่มีเรียนเลย อิสระหนึ่งวัน ไม่มีอะไรทำ นั่งโดดเดี่ยวอยู่บ้าน เลยออกไปเดินเล่นแถวสยาม มันไม่ใช่สถานที่โปรดของฉันหรอกนะ แต่เพียงบางอารมณ์ไปเดินดูคนเยอะๆ ดูนู้น ดูนี่ก็มีความสุขไปอีกแบบ
ทีแรกตั้งใจว่าจะไม่ซื้อ อะไรทั้งสิ้น เพราะงบไม่ค่อยมี ตั้งแต่ปีที่แล้วฉันถลุงเงินซื้อของเป็นว่าเล่น อยากได้ก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ จนตอนนี้หมดเกลี้ยง! จำได้ ตอนปีใหม่บอกกับตัวเองว่า จะใช้ตังให้น้อยลง จะเก็บไว้ไปเนปาล แต่ถึงตอนนี้ จะกลางปีแล้ว ฉันยังทำไม่ได้เลย กิเลสมันหนา ตัดไม่ขาดเสียที
ได้เสื้อมา 2 ตัว เห็นมันไม่แพงก็เลยซื้อมา ที่จริงแล้วปกติเป็นคนไม่ค่อยชอบใส่เสื้อยาวๆ เสียเท่าไหร่ เพราะช่วงตัวมันสั้น (แถมยังเท้าเล็กอีก) เสื้อบางตัว บางคนใส่อาจว่าพอดีกับตัว แต่เวลาฉันใส่มันจะรู้สึกว่ายาวมากๆ ยาวแบบใส่ออกมาแล้วทุเรศเลย เวลาซื้อเสื้อผ้าเลยหายากนิดนึง
ว่าแต่วันนี้ฉันอารมณ์ดีเลยถ่ายรูปมาโชว์ด้วย ฮาๆ^.^


       ตัวนี้ใส่แล้วยาวมากๆ ><     

ตัวนี้ใส่แล้วผอม ^.^


ก่อนกลับบ้าน มานั่งคุยกับเพื่อนที่ Coffee World จิบmochaไปคุยกันไป คุยครอบคลุมมาก มีประโยคนึง มันพูดออกมาแล้วฉันรู้สึกได้เลยว่า มันโตขึ้นแล้วจริงๆ
.
.
.
เป็นมั้ย เวลาเราจะซื้ออะไร แต่เรากลับได้อีกอย่างที่ไม่ต้องการ สำหรับฉัน มันเป็นอย่างนี้เกือบจะทุกครั้ง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องซื้อของนะ เมื่อเราอยากได้อะไร เรามักจะไม่ได้อย่างที่หวัง! แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีที่ได้สิ่งอื่นมาแทนแหละเนอะ
ปล. พี่ยามเช้าคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ กายแข็งแรงดี แต่ใจอาจจะมีแผลนิดๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นมากมายอะไร
ปล. ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงเป็นใยทุกๆ คนนะคะ

::นอนไม่หลับ::



จากบทสนทนาของคนสองคนถึงเพื่อนรักอีก 2 คน
.
.
*เราอยากให้พวกเค้าได้เจอโลกที่กว้างขึ้น
*อืม..เหมือนกัน พวกเค้าก็คงคิดเหมือนพวกเรา
.
.
.
ฉันนั่งคิดไปคิดมา อย่างไหนล่ะที่เรียกว่ากว้าง อย่างไหนที่เรียกว่าแคบ อะไรนะที่เป็นเครื่องวัด
สังคม?             อืม ... คงใช่

แต่ละคนก็ มีสังคมที่แตกต่างกันไป ในแต่ละสังคมก็มีการกระทำ ความคิด คำพูดที่แตกต่างกันไปเช่นกัน แล้วฉันไปงี่เง่าเอาอะไรมาวัดล่ะเนี่ย อยู่เงียบๆคนเดียวพึ่งจะคิดได้ว่า ... ฉันมันงี่เง่าจริงๆ!
.
.
.
.
.
ระยะทางจากการก้าวสู่วัยที่ต้องรับผิดชอบอะไรต่างๆมากขึ้น มันเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่เข้าใจยากและลำบากนะ อย่างน้อยก็สำหรับฉัน
ถ้าได้เจอ เพื่อนเก่าๆ คงคิดว่าฉันเปลี่ยนและแปลกไปเยอะ อืม... อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตัวฉันเองก็ยังรับรู้และรู้สึกได้ แต่เป็นการเปลี่ยนที่แปลกไปในทางที่ดีนะ ฉันคิดเช่นนี้ เป็นทางที่ดีสำหรับฉัน
ระหว่างคาบ เกี่ยวนี้ มีคนอยู่คนนึงที่ได้รับรู้ถึงคนเก่าและคนใหม่ในตัวฉัน ได้รับรู้ถึงช่วงที่มันกำลังผสมผสาน อย่างน้อยๆ คงมีคนเข้าใจฉัน เพียงคนเดียวก็ยังดี
หลายคนที่ ได้รู้จักกันในรอบปี คงเคยชินแล้วกับหลายการกระทำ หลายคำพูดที่ออกมาจากตัวฉัน แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่ชิน และได้รู้จักกับฉันคน(ปัจจุบัน)นี้ไม่เท่าที่ควร ทำให้ความห่างของความรู้สึกมันลึกลงไปอีก ฉันพยายามปรับเข้าหาใครอีกหลายคน แต่จะให้เข้ากันได้ในทันทีคงยาก ฉันพยายามอยู่นะ ..... อย่าพึ่งเรียกร้องอะไรเกินขีดจำกัดของความพยายามนะ
.
.
.
.
.
ปัญหา ทุกคนต้องมีใช่มั้ย มันเป็นบทเรียนชั้นเลิศให้กับคนเรา ปัญหามาคู่กับการตัดสินใจ จะแก้ปัญหาอย่างไร คิดดีๆ นะ
เป็นเพื่อน กัน รับฟังปัญหา แก้ไขด้วยกัน มันโอเคเลยล่ะ ฉันยินดีให้ความช่วยเหลือกับเหล่าประจุบวกทุกคน ช่วยกันนะ ไม่ใช่โยนใส่ สำหรับประจุลบ รับฟัง คงเพียงพอ - เลวเนอะ .... ก็ฉันไม่ใช่คนดีอะไรนี่หน่า
.
.
คนเรามีจุดอ่อนและจุดแข็ง ควรใช้ให้เป็นประโยชน์นะ ว่าแต่ว่า คุณรู้หรือยังว่าอะไรคือจดอ่อนและจุดแข็งในตัวคุณ ?!?






ปล. มันเป็นอาการงี่เง่าของคนนอนไม่หลับ ....!!
ปล. ความรู้สึกที่น่าจะเหมือนเดิม มันเริ่มมีแผลแล้วนะ
ปล. เจ็บแปล๊บๆ แต่แค่ไม่ได้แสดงให้ใครเห็น แค่นั้นเอง

::กลับมา::




วู้ๆ ... หายไปเป็นชาติ ในที่สุดก็ได้เขียนแล้ว ......
.
.
.
เคยเป็นมั้ย มันมีอะไรให้คิด มันมีอะไรในใจ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันสิ่งนั้นคืออะไร
.
.
งงมั้ย ขนาดฉันเองยังงงกับตัวเองเลย ???
หรือ
เพราะมันมีเวลาว่างมาก เกินไป อยู่คนเดียวนานไป มันเลยฟุ้งซ่าน เก็บเรื่องนู้น เรื่องนี้มานั่งคิด คิดแล้วมันก็สะสม จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม และเรียงเป็นตั้งๆ ไปเรื่อยๆ อยู่ในหัว
.
.
เฮ้อ ...... อยากหายวับจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้จัง
.
.
.
บัดดี้ไม่อยู่ไปอเมริกา - นี่รึเปล่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันบ้าๆ ไม่มีคนคอยปรับทุกข์ ไม่มีคนคอยให้คำปรึกษา เหมือนขาดแขนขาไปอย่างละข้าง ไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อไม่มีคนๆนี้ ฉันห่อเหี่ยวได้เพียงนี้ .... มิถุนายน เมื่อเขากลับมา ฉันคงได้ร่าเริงอีกครั้ง
"ฮัลโหลๆ กลับมาเร็วๆ นะ พี่สาว" ..... เฮ้อ !
.
.
.
อยากไปทะเลจัง ใครก็ได้ฮิ้วฉันไปทีสิ ....

::กร่อนและชาชิน::




น้ำหยดลงบนหิน

หินยังกร่อน

แล้วนับประสาอะไรกับคน

เมื่อโดนกระทำมากๆ

ใจมันก็ชาชิน

::เกาะล้าน::




วัน ศุกร์ที่ 24 มีนาคม ฉันได้มีโอกาสไปพักกายผ่อนใจที่เกาะล้านมาค่ะ ต้องบอกว่าเป็นโอกาสที่เกือบจะไม่ได้มา เป็นโอกาสที่หยิบมาได้อย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
.
.
.
ออก เดินทางกันตั้งแต่รุ่งอรุณ เวลา 6 โมงนิดๆ ถึงสถานีขนส่งเอกมัย ตั้งใจจะนั่งรถป.1 ไปลงพัทยาเหนือและต่อรถสองแถวเข้าไปพัทยาใต้ แต่มันเป็นแค่ความตั้งใจ เพราะในความจริงแล้ว ฉันนั่งรถป.2 ไปรถพัทยาเหนือ แล้วต่อรถสองแถวไปลงสี่แยก(อะไรไม่รู้ ตรงวัดชัยฯ) แล้วเดินเท้ากิโลกว่าๆคงจะได้ไปท่าเรือข้ามเกาะล้าน

 

ฉัน รู้สึกแย่ตั้งแต่ได้นั่งรถป.2 เพราะรู้ถึงความอืดอาด ยือยาดของมันดี เพราะยังจำไม่เคยลืมจากตอนที่ไปตัวเมือง รถขับเหมือนเต่าเดิน แต่ไม่ใช่เต่าที่เอาชนะกระต่ายในนิทาน เพราะฉันว่าถึงกระต่างจะนอนไปกี่ตลบเต่าตัวนี้คงไม่มีวันชนะกระต่ายเป็น แน่แท้!! แต่สำหรับครั้งนี้ ป.2 ก็ไม่อืดอาดอย่างเคย เพียงแต่จอดรถรอรับผู้โดยสารกลางทางนานมากเท่านั้นเอง ....

เอ๊... ทำไมไม่ขึ้นป.1 น่ะหรอ ก็เพราะว่าคนขับรถบอกว่าป.1 ออกอีกที 8 โมงเลย ฉันผู้เป็นเด็กน้อยประสบการณ์ดันหลงเชื่อซะสนิทใจ แต่เมื่อโทรไปเช็คทางสถานีขนส่ง “รถออกทุกครึ่งชั่วโมงค่ะ” เสียงจากปลายสายว่ามาอย่างนี้ ... ว่าแล้วมั้ยล่ะ!! แต่มาคิดให้ดีอีกที ถึงจะมาป.1 ลงพัทยาเหนือ กว่าจะนั่งรถไปพัทยาใต้ กว่าจะเดินเข้าไป เวลาคงไม่ทันเรือออกแน่ๆ อ่อ ฉันตั้งใจจะไปเรือรอบ 10 โมงค่ะ

การ ที่เราพลาดอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำให้เราได้รู้และรับอะไรบางอย่าง ฉันได้รู้เส้นทางรถสองแถวหลายสาย ฉันได้รู้ทางเดินไปยังท่าเรือโดยไม่ต้องเหมารถเข้าไปให้เสียทรัพย์ ฉันได้รู้ถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามสองฝั่งทาง ร้านอาหาร บาร์ อาบอบนวด และฉันได้รับน้ำใจจากชาวบ้านผู้ช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างฉัน

ไป ถึงท่าเรือราวๆ 10 โมงกว่าๆ เกือบจะ 11 โมง มีเรือไปเกาะล้านเป็นคล้ายๆสำหรับชาวต่างชาติ ราคาแตกต่างจากเรือรอบ 10 โมงอยู่มาก 20 ---> 150 แต่ 150นี่คือไปกลับ แถมยังมีรอบที่กำลังดีในการเดินทางกลับบ้านเสียด้วย 150 สำหรับฉันจึงคุ้มสำหรับฉันผู้ซึ่งไม่เคยเหยียบเกาะล้านมาก่อน และต้องการเซฟเวลาในการเดินทาง

 

45 นาทีให้หลัง สองเท้าฉันได้เหยียบย้ำลงบนพื้นทรายขาวสะอาดของเกาะล้าน หาดที่ฉันลงคือหาดสังวาลย์ ไม่ใช่ท่าหน้าบ้านอย่างเรือเมล์ปกติ (ก็มันสำหรับฝรั่งนี่ ไม่ต้องต่อรถให้ยุ่งยาก) แต่ฉันตั้งใจจะไปหาดตาแหวน ถามชาวบ้านแถวนั้นเขาบอกว่าเดินเลาะไปตามทางนี่ก็ถึงแล้ว ฉันจึงเดินดุ่มๆ กลางแดดร้อนจ้าไป ไม่ไกลนั่นคือหาดตาแหวน หาดที่ฉันจะมาพักกายผ่อนใจ .....

ก่อน ถึงฉันได้พบปะกับสิ่งที่ฉันไม่พึงประสงค์เป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ ... คำแซวจากชายแถวนั้น ฉันเชื่อว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบแน่ๆ เหตุการณ์นั้นทำให้ฉันรู้สึกว่า ขนาดเราหน้าตาก็งั้นๆ ยังแซวกันซะขนาดนั้น แล้วถ้าเกิดเป็นคนที่หุ่นดี หน้าตาดีแล้วล่ะ พวกเขาจะต้องทนกับเหตุการณ์เช่นนี้ยิ่งกว่าฉันแน่ๆ คิดแล้วฉันดีใจ ที่เกิดมาไม่สวยเสียจริงๆ ฮ่าๆ

 

ถึง แล้วหาดตาแหวน ...... เขาว่ากันว่า อาหารในเกาะล้านนี่แพงมหาโหด ณ วินาทีแรกที่เปิดเมนูอาหาร ฉันเห็นด้วยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด ฉันเห็นราคาจนฉันทานไม่ลง อยากจะกลับไปสั่งข้าวผัดกุ้งหน้าบ้านทานเสียอย่างนั้น แต่คิดในใจว่า “เอาวะ มาถึงแล้ว ยังไงก็ต้องทาน” ...... ฉันจึงสั่งอาหาร

นั่งไปได้ซักพัก ฉันก็หลับไปเสียอย่างนั้น .... ตื่นขึ้นมาแล้วดันไปได้ยินว่า “เฮ้ย อีก10 นาทีก็ 80 แล้ว” แล้วเพื่อนร่วมทางฉันกำลังลุกขึ้นเพื่อจะย้ายที่นั่งพอดี มันเลยทำให้ฉันคิดขึ้นมาว่า “เฮ้ย ชั่วโมงละ 40 เลยหรอเนี่ย” เพราะฉันนั่งมาได้เกือบจะ 2 ชั่วโมงแล้ว แต่มันเป็นความคิดที่ฉันคิดเพ้อเจ้อไปเองค่ะ ที่จริงแล้ว ทั้งค่าอาหาร ค่าเตียงผ้าใบ รวมทั้งหมดเพียง 150 บาท มันถูกแสนจะถูก ทั้งๆ ที่ในเมนู ข้าวผัดกุ้งจานกลางที่ฉันสั่งไปก็ราคา 200 บาทแล้ว มันคงเป็นราคาสำหรับชาวต่างชาติมั้งค่ะ ฉันเป็นคนไทย เลยได้ราตาย่อมเยา แต่ฉันก็ยังแอบคิดเล่นๆ ว่า “เขาได้ยินฉันบ่นเรื่องราคารึเปล่า เลยลดฮวบซะขนาดนี้” ฮ่าๆ

ได้เวลาออกไปสูดอากาศกันนอกเตียงผ้าใบแล้วค่ะ น้ำที่นี่ใสมากๆ ใสกว่าเสม็ดอีกนะคะ (แต่ทรายที่นู้นสวยและนุ่มกว่า!) ฉันก็เดินๆ ถ่ายๆ ถ่ายวิวบ้าง คนบ้าง แล้วดันไปจ๊ะเอ๋กับเงาตัวเอง กดชัตเตอร์ออกมา อุ้ย เจ๋งดี เลยชวนเพื่อนร่วมทางมาแอ๊คท่า อย่างที่เห็น ทายซิคะว่าฉันคนไหน ... ซ้าย หรือ ขวา

 

ตกลง กันว่าจะออกจากเกาะตอน 4 โมงเย็น แต่ปัญหามีอยู่ว่า ฉันต้องเดินผ่านผู้คนที่แซวฉันเมื่อตอนขามา ฉันเลยหาวิธีที่จะกลับโดยไม่เดินผ่านตรงนั้น ซึ่งถามคนแถวนั้นคำตอบที่ได้คือ “ไม่มี ต้องเดินผ่านตรงนั้นอย่างเดียว” แต่แล้วโชคเกิดเข้าข้าง เพื่อนร่วมเดินทางตาไว เห็นร่มคล้ายๆ เรือที่มาส่งเมื่อเช้ามาจอดอยู่แถวๆ หาดตาแหวน เขาเลยวิ่งไปถาม และได้คำตอบที่ว่า ถ้าจะขึ้นเรือกลับฝั่งพัทยาจากหาดนี้เลยโดยไม่ต้องไปหาดสังวาลย์อีกก็ 40 บาท เพราะลุงคนขับเรือต้องมารับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียไปส่งเรือใหญ่ที่ส่งผู้ โดยสารกลับฝั่งอยู่แล้ว ฉันจึงขอลุงติดเรือไปด้วย 40 บาทแลกกลับการไม่เดินผ่านคนกลุ่มนั้น ฉันก็ถือว่าคุ้มแล้ว มันปลอดภัยกว่ากันเยอะ

 

นั่ง คุยกับลุงคนขับเรือ ได้รู้อะไรเยอะแยะ ทั้งชีวิตชาวบ้านบนเกาะแห่งนี้ นักท่องเที่ยว รายได้ ค่าใช้จ่าย และทำให้ได้รู้ว่าลุงแกไม่ได้เป็นคนท้องถิ่น แต่คู่ชีวิตแกเป็นคนที่นี่ จึงมาทำมาหากินที่นี่ ฉันเดาว่าแกตากแดดจนดำ คงไม่ได้ผิดสีนี้มาตั้งแต่เกิด อ่อ แกเป็นคนเมืองหลวงเก่า “อยุธยา” ค่ะ



ขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง ได้คุยกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เขาทำงานบนเรือ คอยเสริ์ฟเบียร์ให้นักท่องเที่ยว เขาบอกฉันว่า”พึ่งจะมาทำงานได้ไม่กี่เดือน ต้องนอนในเรือ ต้องทำทุกอย่าง ไม่อยากไปทำงานอย่างอื่น ที่นี่ขายตัวเยอะ” พ่อฉันเคยบอกว่าคนทำงานอยู่บนเรือเป็นคนที่มีความอดทนสูง เพราะมันลำบาก มองไปทางไหนก็ทะเล แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งลำบาก ฉันก็เชื่อเช่นนั้นว่ามันลำบาก ก่อนลงน้องเขา(ที่จริงไม่ใช่น้องหรอกนะคะ เขาอายุจะ 21 แล้ว แต่เขาเรียกฉันว่าพี่!)ก็พยายามไปถามทางไปสถานีชนส่งมาให้ นี่แหละน้ำใจของชาวบ้าน ที่บางทีมันก็หายากจากคนกรุง

 

โชค เข้าข้างอีกครั้ง ลงจากเรือมาได้แชร์ค่าโดยสารไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไปลงที่วงเวียนพอดี ค่าโดยสาร 20 บาท แล้วก็นั่งรถสองแถวอีกสายค่าโดยสารอีก 10 บาท ไปลงสถานีขนส่ง ถึงสถานีอีกไม่ถึง 10 นาทีรถจะออก นี่ก็โชคดีอีกที่มาทัน เพราะถ้าไม่ทันคงต้องนั่งรอไปอีกเกือบชัวโมง .....

ทริ ปนี้เริ่มด้วยความไม่ค่อยประทับใจ แต่แล้วก็จบด้วยความประทับใจมากๆ ครั้งนี้ไปไม่ได้เล่นน้ำ ครั้งหน้าไม่พลาดแน่ๆ ฉันจะไปเหยียบที่นั่นอีกครั้งแน่นอน
.
.
.
ระหว่างนั่งรถกลับ เพื่อนร่วมเดินทางได้รับ SMS จากเพื่อนบอกว่า “ทักษิณยุบสภาแล้ว” ตั้งแต่วันนั้น จึงเป็น Talk of the Town จนกระทั่งถึงวันนี้ และวันต่อๆ ไป .....


::เพียงอารมณ์พาไป::



 






ชีวิตคนเราก็เหมือนกับ สายน้ำ ไหลแล้วก็ไม่มีวันย้อนกลับ เฉกเช่นเดียวกับวันเวลา ที่ค่อยๆ เดินทางผ่านวินาที นาที และชั่วโมง ผ่านไปแล้ว 86,400 วินาที 1,440 นาที หรือ 24 ชั่วโมง ก็หมดวัน แสงตะวันหยุดทำงาน แสงจันทร์ผลัดเวรมาทำหน้าที่แทน เป็นวัฐจักรที่อยู่กับมวลมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน
ฉันนั่งมองแม่น้ำ เจ้าพระยา มองคลื่นที่มาจากเรือกระทบฝั่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า โป๊ะรองรับผู้โดยสารโยกย้ายไปตามกระแสคลื่น ผู้คนมากมาย กำลังเดินทางข้ามฝั่งแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพฯ มองเลยไปถึงสะพานปิ่นเกล้า มีรถคันแล้วคันเล่าค่อยๆ แล่นผ่านไปมา มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันอยู่ในความวุ่นวายของสังคมเมือง แต่ในความวุ่นวายนี้ ก็มีมุมๆ หนึ่งที่ฉันรู้สึกสงบเหลือเกินเมื่อได้ไปอยู่


หลายวันนี้ ฉันรู้สึกว่าฉันใช้ชีวิตไร้สาระเสียจริง ตื่น ไปเรียน กลับบ้าน อาบน้ำ นอน ทำกิจกรรมอยู่แค่นี้ ฉันอยากให้มันมีอะไรมากกว่านี้ อยากให้ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องนู้น เรื่องนี้ คิดมาก เครียด เบื่อ แล้วก็เซ็ง ฉันไม่อยากอยู่ในวัฐจักรเช่นนี้เลย ให้ตายเถอะ! 


เขาว่ากันว่า หลังวันฝนตกจะเจอกับวันฟ้าใสซึ่งรอเราอยู่ มันจริงหรือ? ทำไม ฝนมันหยุดตกนานแล้ว แต่ฟ้ามันก็ยังไม่ใสเสยที เมฆ หมอก สีครามยังลอยอยู่บนฟากฟ้ามันอึกครึมเสียเหลือเกิน จนทำท่าว่าฝนจะตกมากอีกครั้ง ฉันคิดถึงวันเก่าก่อนที่ฟ้าใส สวยงาม วันที่ฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิต วันที่มองอะไรก็ดูดีไปเสียหมด วันที่ฉันมีจุดหมายชัดเจนในการดำเนินชีวิต วันที่มีผู้คนข้างกายที่รับรู้และเข้าใจในความเป็นตัวของฉัน จะอีกนานสักเพียไหนกันนะ ที่วันฟ้าใสจะกลับมาเยือนอีกครั้ง ... 


::ยิ้ม::




ตอนนี้เรื่องราวภายในประเทศไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ว่าแล้ว เขียนอะไรที่ทำให้รู้สึกดีดีกว่า .....



ยิ้ม ยิ้ม
ช่วงนี้ยิ้มบ่อยขึ้นค่ะ เห็นอะไรนิด อะไรหน่อยก็ยิ้ม เหมือนไม่ค่อยเต็ม แต่ฉันรู้สึกอยากยิ้มจริงๆ นะคะ
เมื่อก่อน ฉันเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม หน้าบึ้ง ถ้าใครไม่รู้จักฉันก็จะไม่อยากเข้าใกล้ กลัวฉันแยกเขี้ยวใส่ (ทั้งๆ ที่ไม่มีเขี้ยวเสียหน่อย!) เพื่อนๆ เค้าบอกว่าฉันหน้าหยิ่ง หน้าหยิ่งอย่างเดียวนะคะ ที่บอกว่าหยิ่งอาจจะเพราะว่าหน้าไม่ยิ้ม แต่ใจน่ะเป็นกันเอ๊ง กันเอง :)
ตั้งแต่ย้ายที่เรียน หลายคนบอกว่าฉันยิ้มเก่งขึ้น ใช่แล้วค่ะ ฉันพยายามยิ้มให้มากขึ้น เพราะหน้าอันบึ้งตึงอาจจะเป็นสิ่งกีดขวางอันโตของฉันได้ ฉันจึงพยายามที่จะยิ้ม ยิ้มเข้าไว้ แต่บอกตามตรง ใจน่ะ หดหู่เสียเหลือเกิน


นั่นคือเหตุการณ์ในช่วง แรกๆ แต่ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นคนยิ้มเก่งอยู่ค่ะ แต่ผิดกันตรงที่ว่า เมื่อก่อนยิ้มออกมาจากสมอง แต่ตอนนี้มันออกมาจากจิตใจ ยิ้มอย่างจริงใจจริงๆ 


ฉันรู้สึกปลดปล่อยมาก เมื่อได้ยิ้ม บางทีมันรู้สึกอึดอัดกับบางเรื่อง แต่พอมาเจออะไรซักอย่างที่ทำให้ยิ้มได้ มันช่างมีความสุขจริงๆ นะคะ ทำให้ฉันคิดได้ว่า เจอเรื่องร้ายมาตลอดทั้งวัน แต่ได้ยิ้มซักครั้ง ก็มีความสุขแล้ว คือวันทั้งวัน ไม่ใช่จะเจอแต่เรื่องทุกข์ อย่างน้อยก็ยังมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้เก็บเกี่ยว ตุนไว้เป็นแรงผลักดันของวันข้างหน้าได้ ... จริงมั้ยคะ ?