::ไผ่แดง::


โดยปกติมีนวนิยายอยู่ไม่มากนักที่เราหลงใหลในบทประพันธ์ และหนึ่งในนั้นคือนวนิยายเสียดสีสังคมเรื่อง"ไผ่แดง"

ไผ่เป็นลำเป็นกลุ่มเป็นกอ ไผ่จะล้อเล่นลม
ไปตามทางที่เหมาะสม ไปตามทิศทางลม
ไผ่ตามพันธุ์ ต่างเผ่า ต่างกอ ไผ่ก็ยังต่างสี
ดังผู้คนในสังคมเรานี่ใยจะไม่ต่างกัน
คนละทาง คนละอย่าง คนละอุดมการณ์
แต่ก็มีจุดหมายเดียวกันเป็นเรื่องราวของชาวไผ่แดง
บ้างก็รู้กันอยู่แก่ใจ บ้างก็ฝันกันไป
แต่จงจำไว้ก่อนจะสายอย่าให้ใครมาสนตะพาย

- ไผ่แดง, เฑียรี่ เมฆวัฒนา

ทั้งบทประพันธ์และบทเพลงยังคงใช้ได้กับยุคนั้นจวบจบมาถึงยุคนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือน่าเศร้าใจกันแน่
 


แต่สุดท้าย, ไม่ว่าจะเป็นไผ่พันธุ์ใด มาจากเผ่าไหน จะกอใหญ่หรือเล็ก แม้แต่เป็นไผ่สีอะไรก็ตาม เราทุกคนต่างก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป และการประคองใจให้ยืนยัดกับเส้นทางที่เลือกเดินนี่ล่ะเป็นสิ่งสำคัญ



::Art Normal | ปกติศิลป์::




เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปปั่นจักรยานชมเมืองราชบุรีเพื่อถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวเล็กๆ ซึ่งเป็นโปรเจคใหม่ของเรา





ครั้งนี้เราออกเดินทางด้วยรถไฟขบวนที่ 43 เป็นรถด่วนพิเศษ sprinter หัวลำโพง - สุราษฎร์ธานี เมื่อเราไปถึงหัวลำโพง ทางสถานีได้แจ้งว่ารถไฟขบวนนี้จะออกเดินท างช้ากว่าเวลาบนตั๋ว 15 นาที มันเป็นภาพเหตุการณ์ทับซ้อนเหมือนเคยเกิดขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่าเมื่อขึ้นรถไฟ รอ ร๊อ รอ ชะโงกแล้วชะโงกเล่า และเมื่อเวลาผ่านไป 40 นาที รถไฟที่รักก็ค่อยๆ มุ่งตรงสู่ชานชาลาที่ 9





ระหว่างการเดินทาง, มีฝรั่งหนุ่มสาว 2 คนในโบกี้ขึ้นผิดขบวน เจ้าหน้าที่ก็พยายามสื่อสารและอธิบายยืดยาวถึงการทำงาน เราเข้าใจว่ากฏต้องเป็นไปตา มกฏแต่ก็แอบสงสารหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ได้ เราพยายามช่วยสื่อสารเต็มที ่แล้ว และภาวนาว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่คงถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย


เราถึงสถานีรถไฟราชบุรีประมาณ 11 โมงกว่า ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะตั้้ง ใจจะกลับรถไฟฟรีตอน 4 โมงเย็น แต่ก็ต้องตกรถเพราะเพลิดเพลนกับการปั่นจักรยานชมเมืองไปหน่อย

 


 

เราใช้บริการรถมอเตอร์ไซรับ จ้างที่จอดอยู่หน้าสถานี คนขับชื่อ"พี่ตี๋" แกบอกว่าถ้าจำชื่อไม่ได้จำแค่เบอร์2 ก็พอ พี่แกแจกเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อการใชบริการในขากลับ พี่ตี๋คิดเรา 30 บาทจากสถานีรถไฟไป D Kunst Gallery ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองบน ถนนวรเดช เราถือว่าเป็นราคาที่รับได้เพราะก็ไกลอยู่เหมือนกัน








ก่อนมาเราพยายามหารายละเอียดเกี่ยวกับร้านเช่าจักรยานและพบว่าในตัวเมืองราชบุรีไม่มีร้านเช่าจักรยานหรือมอเตอร์ไซ แต่เชื่อว่าอีกหน่อยคงจะมีเพราะคนนิยมปั่นจักรยานกันมากขึ้น เราโชคดีที่จักรยานของทางแกลอรี่ยังมีเหลืออยู่บ้าง เขาให้ยืมฟรีแค่แลกบัตรประชาชน เจ๋งมากๆ 

 



เราประทับใจทั้งเจ้าของแกลอรี่และน้องๆ ที่ทำงานในแกลอรี่มาก เป็นกันเอง พูดจาดี และดูแลดี แต่ลาเต้มันหวานไปหน่อยนะ! นอกจากนี้เรายังชอบดีไชน์ของห้องน้ำในแกลอรี่มากๆ วัสดุที่ใช้มัน art normal สมชื่องานสุดๆ





แม้เราจะไม่ได้ปั่นไปครบทุกที่ที่อยู่ในแผนที่ของการจัดงาน เพราะทีแรกเราตั้งใจจะกลับรถไฟซึ่งทำให้เรามีเวลาอยู่ในเมืองแค่ 4 ชั่วโมง ปั่นไปร้านตัดผมยืนคุยกับคุณลงเจ้าของร้านก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว เราก็ค้นพบว่าเราชอบการพูดคุย แลกเปลี่ยนทรรศนะกับผู้คนเหล่านี้ ชอบที่ได้ถามและรับรู้ ไม่เบื่อเลยที่ยืนฟังลุงแกเล่าทั้งเรื่องสมาคมตัดผม เรื่องประวัติร้านของแก และเลยไปถึงเรื่องอื่นๆ เราว่ามันสนุกดี 

 




ช่วงเย็นๆ จะมีตลาดนัดมาขายบนถนนริมแม่น้ำแม่กลอง ไม่แน่ใจว่ามีเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์รึเปล่า เราติดใจกับแผงที่ให้เด็กๆ มานั่งระบายสีมาก มันเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆ มีศิลปะอยู่ในใจ ทำให้พ่อแม่ที่พาลูกๆ มาใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้ผ่อนคลายไปกับการช่วยลูกละเลงสีด้วย : )







โดยรวม, เราว่างาน Art Normal เป็นงานเฉพาะกลุ่ม เพราะขนาดคนในตัวเมืองราชบุรีเองยังไม่รู้เลย แต่ก็ไม่เป็นไร เราเชื่อว่าคนกลุ่มน้อยถ้าตั้งใจจริงก็สามารถทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน

 



ส่วนใครที่ยังไม่ได้ไปเราอยากให้ลองไปดู ส่วนตัวเราก็อยากกลับไปปั่นอีกรอบให้ครบทุกที่ ผู้คนที่นี่น่ารัก ปั่นจักรยานไปที่ไหนต้องมีป้าๆ ลุงๆ ถามไถ่และยิ้มให้เราตลอด มันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและเป็นมิตร ถ้าปั่นในกรุงเทพฯ คงเจอแต่มลพิษเข้ามาทักทาย "ปอดจ๋า โอเคมั้ย?!"



ขอให้สนุกกับการเดินทาง แล้วเจอกันทริปหน้าค่ะ :)





FYI: งาน Art Normal ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 15 เมษาฯ นะคะ


::ระยะหวานเย็น::


เราชอบบรรยากาศเงียบๆ ในขณะที่ความเหงาเข้าครอบงำใจ พอๆ กับเสียงหัวเราะดังๆ เวลาที่ความรู้สึกดีครองครองใจ เพราะหลากหลายเรื่องราวในชีวิตของเราล้วนแต่มีความเหงาเป็นแรงบันดาลใจ


เช้านี้อากาศอึมครึม เม็ดฝนร่วงหล่นเป็นระยะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงเรียกช่วงเวลานี้ว่า"ระยะทำใจ" แต่ทุกวันนี้ช่วงเวลาแบบนี้มันเป็น "ระยะหวานเย็น" สำหรับเราชัดๆ


ปีนี้เราเลือกเดินทางช่วงกลางปี ใช่, มันคือฤดูกาลฝนพรำ เรารู้ดี แม้ทุกๆ ปีที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ได้ออกเดินทางช่วงฤดูฝนเลย การเดินทางหลักๆ จะถูกอัดอยู่ปลายปีซึ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่เพราะเหตุผลด้านบนปีนี้เราจึงตัดสินใจออกเดินทาง


เราเกิดเดือนพฤษภาฯจึงเป็นสาวฤดูฝนโดยกำเนิด ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่าน ฤดูฝนเป็นฤดูกาลที่เราชังที่สุด แต่ 2-3 ปีหลังมานี่เรากลับรักมันสุดใจ โดยเฉพาะเวลาได้อยู่บ้าน ได้ขีด ได้เขียน ได้ฟังเพลงไปพร้อมกับเสียงฝนพรำ มันเป็นช่วงเวลาที่มากกว่าคำว่าสบายใจ และหลังจากลมพัดฝนผ่านไป มันก็ถึงเวลาเก็บภาพเม็ดฝน ที่ได้ฝากไว้กับต้นไม้ใบหญ้าน้อยใหญ่รอบบ้าน นี่แหละคือ "ระยะหวานเย็น" ในความหมายของเรา


ฝน, ให้ความรู้สึกเหงา
ฝน, ให้ความรู้สึกหวาน
ฝน, ให้ความรู้สึกเย็น

::เพราะคิดถึง จึงถามไถ่::


สวัสดีค่ะ : )


เราหายไปนานมากพอดูเลยครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะเข้ามาเขียนให้บ่อยขึ้นกว่าปีก่อน แต่สุดท้ายมันก็เข้าอีหรอบเดิมทุกที แรงดีต้นปี พอเริ่มกลางปีก็ตายสนิท


ช่วงนี้อากาศดีนะคะ แม้กรุงเทพฯยังร้อนอยู่บ้างช่วงกลางวัน แต่ยามเช้ากับยามเย็นอากาศใช้ได้เลย ต่างจังหวัดบางที่เริ่มมีเลขตัวเดียวให้เห็นบนเทอร์มอมิเตอร์แล้ว อยากจะบอกว่าน่าอิจฉา แต่บางคนที่กำลังรับลมหนาวจัดอย่างทรมานอยู่ คงนึกในใจว่าอย่ามาอิจฉาฉันเลย ใช่ไหมคะ? ;P


การส่งโปสการ์ดอวยพรปีใหม่เป็นกิจกรรมส่วนตัวที่เราชอบมาก ทำมาหลายปีแล้ว ปีนี้ก็เช่นกัน พี่ๆ เพื่อนๆ หลายคนที่นี่ที่เคยให้ที่อยู่เราไว้ เรายังเก็บที่อยู่ของทุกคนไว้นะคะ แต่เพื่อความมั่นใจเลยเข้ามาถามว่ามีใครเปลี่ยนแปลงที่อยู่บ้างรึเปล่า หรือใครสนใจการสานสัมพันธ์รูปแบบคลาสสิคก็หย่อนที่อยู่ไว้นะคะ เรายินดีเสมอ


มีเรื่องเล่าเยอะแยะไปหมด ขอเวลาไปเกลาความรู้สึกเป็นตัวหนังสือก่อน แล้วเจอกันแบบยาวๆ ในเร็ววันนี้ค่ะ


อบอุ่นทุกครั้งที่เข้ามา : )

::ในมุมที่ต่างออกไป::


ตึก ตึก ตึก

เปล่า, เราไม่ได้หมายถึงอาคารสูงที่ห้อมล้อมมหานครกรุงเทพไว้ แต่มันคือเสียงหัวใจที่เต้นรัวแข่งกับเสียงรถไฟลอยฟ้า ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสูชานชาลาของสถานีอุดมสุข หนึ่งในห้าของสถานีส่วนต่อขยายซึ่งเริ่มเปิดให้บริการเมื่อวันแม่ที่ผ่านมา เราเฝ้ามองดูการประกอบร่างของรางรถไฟสายนี้มาตั้งแต่ต้น จึงไม่แปลกนักหากวันนี้ความตื่นเต้นมันทำงานหนักกว่าปกติ


เราชอบสายตาของความตื่นเต้น เมื่อใส่ความตื่นเต้นลงไป ม่านตาและหัวใจมักจะขยายออกแทบทุกครั้ง โลกในมุมที่ต่างจะส่งผลให้ความเข้าใจโลกมันต่างออกไปด้วย อย่างที่เราตื่นเต้นกับการเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้าจากหน้าบ้าน มันก็ทำให้เส้นทางเดิมๆ จากบ้านไปที่ทำงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


วันนี้เราเห็นตึกสูงในมุมที่ใกล้ขึ้น วันนี้เราเห็นป้ายร้านรวงที่แปลกตา วันนี้เราเห็นรถเมล์คันเมื่อวานเล็กลง วันนี้เราเห็นเมฆบนฟ้ากว้างจากองศาที่ต่างออกไป

พรุ่งนี้เราคงเห็นอะไรอีกเยอะแยะที่ไม่เหมือนเดิม และคงเข้าใจโลก ผู้คน และตัวเองในมุมที่ต่างออกไป มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น

::สิ่งที่ฉันเป็น::


เราไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำกันได้รึเปล่า แต่สำหรับเรา เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนแกนกลางของโลกได้เลยจริงๆ และไม่ใช่สุดขั้วโลกเหนือ ไม่ใช่สุดขั้วโลกใต้ หากวัดจากเส้นศูนย์สูตรของโลก ถ้าไม่เหนือขึ้นไปนิด ก็ต่ำลงมาหน่อย นี่แหละคือพื้นที่ชีวิตของเรา


เพราะสำหรับเรา, การกระทำไม่ได้ถูกแปรผันไปตามความพอดี แต่เป็นความรู้สึกต่างหาก ที่ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณที่จะถูกถ่ายทอดออกทางการกระทำ และเราเองก็ไม่ใช่คนที่เต็มที่ในทุกการกระทำ ไม่ได้ตั้งใจในทุกๆ หน้าที่และภาระที่ต้องแบก แต่ถ้าสิ่งไหนที่รู้สึกใช่และชอบ เราไม่เคยหมดแรงที่จะทำ ความเต็มที่และความตั้งใจถูกผสมอยู่ในกระบวนการผลิตเสมอ


ในวันเกิดที่ผ่านมา, คำอวยพรของเพื่อนคนหนึ่งกลายเป็นคำพูดที่พักนี้เราคอยใช้เตือนตนอยู่บ่อยๆ แม้จะไม่ได้เป็นคนยึดมั่นกับความเป็นตัวตนดั่งภูผาลูกโต แต่เราก็ภูมิใจกับความเป็นตัวเองที่ดูแปลกๆ อย่างนี้มาโดยตลอด จนในวันหนึ่งเหตุการณ์โยงใยให้เราเดินทางสู่โลกต้องมนต์ ที่ทั้งสะกดให้เพลินใจ ดึดดูดให้หลงใหล แต่ในที่สุด, ณ ตอนนี้ เราก็พากายพาใจกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีบทความนี้เป็นเครื่องยืนยันทุกสิ่ง : )


อีกหนึ่งคำพูดที่เป็นเหมือนดั่งเข็มทิ่มแทงกลางอกในระหว่างที่เรากำลังเริงร่าในโลกต้องมนต์ใบนั้น คือคำขอบคุณจากเพื่อนอีกคน เขาว่าของขวัญวันเกิดที่เรามอบให้ทำให้เขารู้ว่าวันนี้เขาเดินทางเพื่ออะไร มันตอกย้ำความรู้สึกในขณะนั้นจนเราฉุกคิดถึงตัวเองว่า แล้วนี่เรากำลังทำอะไรอยู่ พอรึยังกับโลกต้องมนต์แสนหวาน ถ้ายังคงเคลิ้มอยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เดินทางตามเส้นทางที่พร่ำบอกใครต่อใครไว้
 

ขอบคุณเขาทั้ง 2 สำหรับคำอวยพรและคำขอบคุณที่มาได้ถูกเวลาเสียเหลือเกิน


ความรู้สึกมนุษย์คล้ายกระแสน้ำที่ไม่เคยแน่นิ่งเรารู้ดี แต่ก็นั่นแหละเพราะนี่คือสิ่งที่ฉันเป็น

::รูปเล่าเรื่อง::


เป็นอีกหนึ่งวันสบายๆ ที่ฉันเองไม่อยากจะทำอะไรเลย นอกจากถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป ไดอารี่หน้านี้จึงอาจดูแปลกตาไปนิดที่มีรูปภาพมากกว่าตัวหนังสือ ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้เพลินตาไปกับการเล่าเรื่องด้วยรูปภาพในวันฝนพรำวันนี้นะคะ : )


สำหรับร้านกาแฟริมน้ำเจ้าพระยาที่ฉันเอ่ยถึงเมื่อไดฯ หน้าที่แล้ว ชื่อร้านว่า Vivi The Coffee Place ค่ะ อยู่ตรงข้ามโรงเรียนตั้งตรงจิตแถวๆ วัดโพธิ์ ซอยที่มีธนาคารอยู่ด้านหน้า ร้านอยู่ด้านในสุดซอยเลยค่ะ ที่จริงแล้วฉันติดใจรสชาติเค้กของที่นี่มากกว่ารสชาติกาแฟอีกนะคะ ;P ไม่ทราบว่าใช่ร้านเดียวกันรึเปล่าเอ่ย?




















ราตรีสวัสดิ์วันฉ่ำฝนนะคะ : )