::2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง::


วันๆ นึงช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของคนทั่วโลกก็จะเดินทางมาถึง ปี 2549 กำลังเตรียมตัวโบกมืออำลา ปี 2550 กำลังก้าวเข้ามาทำหน้าแทน
เด็กๆ มักจะมีความสุขกับเทศกาลต่างๆ แต่สำหรับคนบั้นปลายชีวิตเทศกาลหนึ่งผ่านมาเปรียบเสมือนว่าเวลาที่จะมีชีวิต อยู่กับลูกหลานก็ลดน้อยลงไปอีกปี
.....


เมื่อวานสอบวันสุดท้าย แต่จิตใจไม่ได้อยู่ที่ข้อสอบ มันลอยล่องไปถึงคิวพักผ่อนหลังสอบเสร็จเสียแล้ว
อาหารมื้อกลางวัน
หนังรัก The Holidays
ท่าพระจันทร์ วังหลัง
ชาเย็น Black Canyon
McDonald มื้อค่ำ
Christmas Tree at Central world
Internet ยามดึก
และ NiceSis


.....


ลองมานั่ง ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไปในปีนี้ดู มันก็ถือว่าเป็นปีที่ใช้ได้เลยทีเดียว อาจจะเพราะมีบทเรียนมาแล้วจากปีก่อน ที่ถือว่าเป็นปีที่ตกอับ คอตก ทุกข์ทรมาน พอมาปีนี้อะไรหลายๆ อย่างมันลงตัวขึ้น สามารถปรับตัวเองได้มากขึ้น ปีนี้ ..

สุขจนกลัวว่าเราจะไม่รู้สึกมีความสุขอะไรอย่างนี้อีกแล้วในวันถัดไป

เศร้าเสียใจ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว และเรื่องความรู้สึกที่สับสนในตัวเอง

ภูมิใจและท้อแท้อะไรหลายๆ สิ่งที่ตัวเองทำได้และทำไม่ได้

ผิดหวัง สมหวัง มีกำลังใจ หมดกำลังใจ

แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ผ่านมาได้ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ยังไงซะมันก็ทำให้เห็นว่าทุกปัญหามันก็มีทางออกของมันเสมอ

2549 ฉันค้นพบอะไรบางสิ่ง :)


::ทะเลธันวา::


เผลอแป๊บเดียวจะสิ้นปี แล้ว วันเวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ เร็วจนบางทีมันน่ากลัว กลัวว่าเราจะเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ไม่ทันเวลา เส้นทางเดินของคนเรามันยาวไกลนัก แต่พรุ่งนี้อาจมีบางสิ่งทำให้คนเราหยุดเดินก็ได้ ทำให้คนเราหมดลมหายใจ ใครจะไปรู้ .. จริงมั้ย?
ทุกวันนี้เลยพยายามจัด เวลาให้ดี ไม่ทำตัวปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนตอนนี้หวงเวลา ไม่อยากให้มันผ่านไปโดยไร้ค่า แต่ใครจะไปห้ามมันได้ ที่จริงแล้วเวลามันไม่ได้เดินเร็ว มันก็เดินติ๊กตอกๆ ของมันไปเรื่อย มีเพียงตัวเราที่ไม่มีจังหวะในการเดิน ไม่สามารถเดินติ๊กตอกๆ อย่างมันได้ เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว
.....
หลายวันก่อนไปนั่งพักกาย ผ่อนใจที่ทะเล ถึงแม้หาดทรายจะไม่ขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลจะไม่สวยสีฟ้าใสอย่างทะเลทางภาคใต้ หรือตามเกาะต่างๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีไม่ใช่น้อย แอกที่แบกอยู่บนบ่าเหมือนหายไปชั่วคราว


ครั้งนี้ไปทันพระอาทิตย์ตก และตื่นทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี อ้อ! ลืมบอกไปว่าหาดที่ว่าคือ หาดเจ้าหลาว - จันทบุรี ไม่ใช่หาดที่มีชื่อเสียงอะไร แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของมัน ถึงแม้บรรยากาศไม่ได้เลิศหรูอย่างทะเลดังๆ ที่อื่นๆ แต่ที่นี่ความเงียบสงบถือว่าไม่เป็นรองใคร
ตอนกลางคืนเดินรับลมก่อน นอน ได้ยินกลุ่มข้างๆเค้าคุยกันว่าวันนี้ลมทะเลไม่เหนียวตัวเลย ซึ่งมันก็ จริง ไม่เหนียวตัวจริงๆ (นี่ถ้าไม่ได้ยินเค้าพูดกัน ฉันก็จะไม่รู้สึกว่ามันไม่เหนียวตัวนะเนี่ย .. ความรู้สึกตายด้าน!!)




อากาศช่วงเช้าที่นี่ถือได้ว่าเย็นพอรู้สึกได้ แต่พอช่วงกลางวันก็ไม่ต่างกับกรุงเทพมากนัก แต่น่าจะร้อนน้อยกว่า
ตอนเช้าในขณะที่กำลังรอ คอยแสงตะวัน พบกับเด็กผู้หญิงคนนึงเดินแบกห่วงยางสีดำอันใหญ่สำหรับให้คนเช่าเดินไปเดิน มา ทีแรกเดาว่าน่าจะราวๆ 10 ขวบ เพราะดูลักษณะยังเด็กอยู่ เลยเดินเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าน้องเค้าอายุ 13 อยู่ ม.1 แล้วถามน้องเค้าอีกว่าแล้วพ่อแม่ล่ะ(เพราะเห็นแบกอยู่คนเดียว) น้องเค้าบอก "ตายหมดแล้ว" ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร เพราะแค่ได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกช็อคแล้ว ตอนนี้น้องเค้าอยู่กับป้า



หลายๆ ครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อย มีแต่ปัญหาเข้ามาเสมอๆ แต่ลองมองไปไกลๆ มองคนที่แย่กว่าเรา ไอ้ปัญหาที่เรามีอยู่มันช่างจิ๊บจ๊อยจริงๆ
.....
แม่เคยบอกว่า "รู้สึกสูงค่าให้มองขึ้นฟ้าเพราะยังมีคนที่ดีกว่าเรา แต่ถ้ารู้สึกต่ำต้อยก็ให้มองลงดิน อย่างน้อยๆ ก็มีคนที่แย่กว่าเรา" หลายๆ ครั้งที่แม่บอกอะไรมาล้วนแต่ใช้ได้จริง 
"ความรู้รู้เท่าที่เรียน ปฏิภาณความเพียรไม่เรียนก็รู้" เป็นคติที่พ่อใช้สอนฉันเสมอ คตินี้พ่อได้มาจากแม่ซึ่งตาเป็นคนสอนแม่ตอนตายังมีชีวิตอยู่
แม้คนเราไม่มีตัวตนแล้ว แต่สิ่งๆ หนึ่งยังคงอยู่ ถ้าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อคนในยุคต่อมา ...
.....

ปล. วันก่อนที่จะออกเดินทางได้รับโปสการ์ด3ใบรวด จากคนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนอีกส่วนหนึ่งของตัวฉัน ขอบคุณมากนะ


::The Radio : ผี::



วานก่อนตอนเช้าก่อนไปเรียน เปิดวิทยุฟังเพลงไป แต่งตัวไปตามปกติ บังเอิญเปิดไปตอนดีเจเล่าเรื่องผีอยู่พอดี
ผีที่ว่าไม่ใช่ผีตานี ผีกองกอย ผีจีน ผีฝรั่ง ผีไทย หรือผีชาติไหนก็ตาม สรุปคือไม่ใช่ผีที่เป็นมนุษย์นั่นเอง
แล้วผีที่ว่าเป็นผีอะไร่ล่ะ ???
.....
ไอ้ผีที่ว่าคือผีสัตว์ที่เรากินมันเป็นอาหาร อาทิ
ผีไก่ย่าง
ผีปลาทอด
ผีกุ้งเผา
ผีปลาหมึกย่าง
ผีวัว
ผีหมู
และอีกนับนานาผีสัตว์ที่เราได้เขมือบลงกระเพาะไป
.....
เรื่องมันมีอยู่ว่าดีเจ คนนี้เป็นคนกลัวผีมาก แล้ววันหนึ่งเค้าได้ฟังข้อคิดจากเพื่อนสนิทของเค้าซึ่งเป็นนักเขียนคนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เคยได้รางวัลซีไรต์ และเสียชีวิตแล้ว) เพื่อนของเค้าชอบเดินป่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลัวผีแต่ก็มีหวั่นๆ บ้างเวลาเดินป่าคนเดียว นอนป่าคนเดียว
หลังจากนั้นเพื่อนของ เค้าก็คิดได้ว่าเราจะกลัวไปทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ผีพวกนั้นเสียหน่อย ถ้าจะกลัวจริงๆ ทำไมเราไม่กลัวผีสัตว์ที่เรากินเป็นอาหารอยู่ทุกวัน เพราะสัตว์เหล่านี้ก็มีชีวิตเหมือนกัน เรากินมันเข้าไป มันน่าจะแค้นเรามากกว่า
จากที่จะกลัวโดนผีซึ่ง เป็นคนมาบีบคอ หรือมาหลอก เราน่าจะกลัวผีไก่ย่างที่ออกจากปากแล้วมาจิ๊กเรามากกว่าเวลาเราหลับแล้วลืม หุบปาก เราน่าจะกลัวผีปลาหมึกย่างที่เราเพิ่งกินไปเอาหนวดมารัดคอเรามากกว่า ทำไมเราไม่กลัวผีกุ้งเผาที่มาร้องห่มร้องไห้ว่า "กินชั้นไปทำไมๆ" นับ 10 ตัว แล้วไหนจะผีปลาทอดที่ตั้งแต่เกิดมากินไปแล้วไม่รู้กี่ตัว ผีหมูอู๊ดๆ ผีปูกล้ามโต ผีวัว(ถ้าใครกิน)ตัวไม่ใช่เล็กๆอีก
นึกดูแล้วถ้ากลัวจริงๆ ผีสัตว์น่ากลัวกว่าผีคน!!!
เห็นว่าเป็นข้อคิดที่ดี เลยนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ตอนฟังนี่ขำกลิ้ง "ผีไก่ย่างออกมาจากปาก" คิดได้ไง!!!
.....
ตอนกำลังตากผ้าหันไปเห็นผีเสื้อหลายตัวบินไปบินมาอยู่ตรงพุ่มไม้หน้าบ้านพอดี เลยเก็บรูปมาฝากค่ะ


::พอเหมาะ พอดี::


ที่จริงแล้วก็คิดอยู่ เสมอว่าปัญหาทุกปัญหามันก็มีทางออกของมัน แล้วทางออกที่ว่าก็ไม่ได้มีทางเดียว มันก็มีหลายทางให้เราเลือกที่จะออกประตูไหน มีเส้นทางที่ไม่เท่ากัน สั้นบ้าง ยาวบ้างก็อยู่ที่เราจะเลือก หลายๆ ปัญหาก็ต้องใช้เวลาซักนิด เวลาจะบอกว่าเราควรไปทางไหน เราควรทำอะไร ทำอย่างไร
แต่หลายครั้งที่ฉันมักจะ วิตกจริตไปก่อน ทั้งๆที่ก็มีเวลาอีกเหลือเฟือในการหาทางออก เป็นพวกคิดเกินกว่าเหตุในหลายๆ ครั้ง แล้วเป็นพวกชอบคิดกลับไปในอดีตว่า ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นก็คงจะดี เรารอบคอบกว่านั้นก็คงจะดี ถ้าเรา ... ถ้าเรา .... ฯลฯ
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าทำยัง ไงถึงจะดีที่สุด ฉันก็คิดเพียงว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ในอนาคตเกิดอะไรขึ้นก็ค่อยมาว่ากันอีกที วันนี้พอใจที่จะทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ แค่นี้ก็พอ
แต่พอถึงอนาคตจริงๆ ก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้กลับไปคิดเรื่องที่ทำไว้ไม่ได้ซะที เคยคิดเหมือนกันว่า สิ่งที่เราเรียกว่าปัญหามันอาจไม่ใช่ปัญหาก็ได้ แต่ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ความคิดมากของคนเราเองนี่แหละ
.....
บางสิ่งบางอย่างเราต้องทำให้พอเหมาะ พอดี ... ถึงจะดี?
บางสิ่งบางอย่างเราต้องทำให้เกินพอเหมาะ พอดี ... ถึงจะดี?
แต่หายากที่เราต้องทำให้น้อยกว่าความพอเหมาะ พอดี ... แล้วมันจะดี?

::บ่นๆ เรื่องเรียนๆ::


หายไปนานเลย แบบว่าไม่มีอะไรจะเขียน มันก็เรื่องเดิมๆ ช่วงนี้กราฟชีวิตมันสูงๆ ต่ำๆ แต่ว่าไปแล้วอย่างนี้แหละเนอะเค้าเรียกว่าสีสันของชีวิต จะมาราบเรียบตลอดเลยมันจะไปสนุกอะไร ... (แต่บางทีมากไปอาจทำให้ขมับสั่นไหวได้!!)
.....
เทอมนี้เรียกได้ว่าเรียน หนักมาก ถึงแม้จะหยุด 3 วันต่ออาทิตย์ก็ตาม แต่วันที่เหลือนี่ก็เรียนตั้งแต่ 8.40 - 16.30 ทุกวัน วันหนึ่งได้กินข้าวมื้อเดียว ตอนแรกที่ลงเรียนนึกว่าตัวเองทำได้ คิดในใจว่า "โอ๊ย สบายๆ เรียนทั้งวัน มันก็ต้องซักวิชาสิที่ไม่เช็คชื่อ" ที่ไหนได้เทอมนี้เป็นบ้าไรกันไม่รู้ เล่นเช็คทุกวิชา เก็บคะแนนทุกครั้ง แถมเทอมนี้เรียนทั้งบัญชี สเตด เศรษศาสตร์อีก เวลาใกล้สอบอ่านสนุกเลยทีนี้ ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ต่อไปฉันจะไม่ลงเรียนเกินบ่าย2 อีกแล้ว ถึงบ้านนี่ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำงานบ้าน อาบน้ำ นอน แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว แถมการบ้านยังเยอะอีก สูตรไรเยอะแยะไปหมด ท่องไปท่องมาสลับวิชากันซะงั้น -"-
ที่จริงวันนี้ต้องไปฟัง เรื่องการเลือกคณะที่มอ แต่ว่าความขี้เกียจกวนใจไม่หยุดไม่หย่อน จะห้ามมันก็ไม่ฟัง เลยต้องตามใจมัน เปลี่ยนโปรแกรมจากไปฟังบรรยายไปเป็นเข้าโรงหนังคลายเครียดซะงั้น เมื่อวานก็โดดเรียนเศรษศาสตร์ไปทำทรีตเม้นต์หน้ามาแล้วครั้งนึง แบบว่ามันฟรีแล้วน่ะ เลยต้องรีบไปก่อนหมดวัน >.<
ถึงแม้จะเรียนหนักแค่ไหน ฉันก็สามารถหาเวลาไปนอนชมทะเลได้ ไปมาเมื่อพฤหัสที่แล้ว ส่วนรูปภาพ และ รายละเอียดตามอ่านได้ที่ http://nonbalance.diaryis.com เพราะคิดว่าถ้าเขียนเองก็คงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ทั้งความรู้สึก และมุมมองต่างๆ
.....
เพื่อน คือ ตัวแปรหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับฉัน และคงรวมถึงหลายๆ คน ฉันไม่ใช่คนที่ตามเพื่อน หรือติดเพื่อน แต่บางครั้งฉันก็ขาดเพื่อนไม่ได้
ฉันเข้าใจว่าเพื่อนก็ ต้องมีโลกของเค้าเหมือนที่ฉันมีโลกของฉัน แต่บางครั้งการที่เราเข้าใจอะไรบางสิ่งมันไม่เพียงพอ เราต้องรู้สึกให้ได้อย่างที่เราเข้าใจด้วย วันนี้ฉันเข้าใจ และฉันก็กำลังรู้สึกกับมัน ...

::แงะ::



ตัวเราก็เป็นของเรา ไม่จำเป็นต้องไปติดกับคนอื่น .. จริงมั้ย? ไม่ใช่เพิ่งจะคิดได้ แต่คิดได้นานแล้ว แต่บางทีมันยังแงะออกมาไม่ได้อย่างที่ต้องการ

โทรไปเคยรับสายทันที ถ้ายิงไปก็โทรกลับมาทุกที ชวนไปไหนก็ไม่เคยปฏิเสธ กลุ้มใจเรื่องอะไรก็ระบายออกมาได้ ฯลฯ

แต่ ... หลายเดือนที่ผ่านมา หลายอย่างไม่เหมือนเดิม ต้องใช้เวลาซักพักเพื่อแงะตัวเองออกมา อาจจะเพราะอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องเพื่อนๆ คนอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเลวร้ายอะไร ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แต่บางทีมันก็สงสัยอะไรบางอย่าง แอบน้อยใจบ้าง แต่อย่างว่าปากหวานก้นเปรี้ยวมีเห็นทั่วไป จะคิดอะไรมากมาย จริงมั้ย? ฉันไม่ได้ตัดเยื่อใย ไม่ได้ไม่สนใจหรือไม่เป็นห่วง เมื่อถึงวันที่ให้จนเกือบจะหมดตัว ก็เป็นธรรมดาที่ปริมาณมันก็น้อยลงไป ฉันมันก็เป็นแค่คนธรรมดา รู้สึกเจ็บ รู้สึกแย่ ก็คิด ก็รู้สึก ไม่ได้เป็นแม่พระที่เป็นคนดีตลอดเวลา อะไรไม่ได้ดั่งใจมันก็มีบ้างที่เอาแต่ใจ ... ฉันมันคนเลวฝังในนี่น่า!!!

วันนี้ ตอนนี้ แงะตัวเองออกมาได้แล้ว ไม่มีเค้าก็ไม่เป็นไร เหงาๆ ก็ลองโทรหาคนอื่นดู เออ .. ฉันก็ไม่ได้ตัวคนเดียวนี่หว่า มีคนนู้นคนนี่อีกมากมายที่อยู่เป็นเพื่อน มันทำให้ฉันรู้ว่า ยังมีคนอีกไม่น้อยเหมือนกัน ที่คอยดูแลฉันห่างๆ และเมื่อถึงเวลาใดที่เราล้ม พวกเค้าก็ไม่รีรอที่จะก้าวเข้ามาช่วยเหลือ ... บางทีปากจัดๆ แต่จริงใจมันยังดีซะกว่า
.....


ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้นะ แต่แบบขอเก็บไว้อ่านดีกว่า

::ไปหาสีเขียวๆ::



เกือบครึ่งปีที่ไม่ ได้ปล่อยตัวไปไหนไกลจากเมืองหลวง ครั้งล่าสุดไปเดินต๊อกๆอยู่ที่เมืองกาญฯ เมื่อเดือนพฤษภา ซึ่งมันก็นานมากแล้ว ....
.....
วันอาทิตย์อากาศ แจ่มใส แสงอาทิตย์แยงตาปลุกฉันตื่น (รวมถึงเสียงที่บอกถึงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักของแม่ด้วย!!) จัดแจงจับของใส่เป้ยีนส์เตรียมตัวออกเดินทาง

ตลอดการเดินทางการ จราจรคับคั่งไปด้วยรถ อาจจะเพราะข้างทางกำลังทำถนน และเป็นวันหยุด long weekend ระหว่างทางฉันก็นั่งอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งได้จากงานสัปดาห์หนังสือ (ทั้งๆ ที่เล่มเก่าๆ ก็ยังอ่านไม่จบ) มันไม่ใช่หนังสือออกใหม่ แต่เป็นหนังสือเล่มใหม่ของฉัน

เงยหน้าขึ้นมาอีกที คราวนี้จากที่อากาศแจ่มใสกลับกลายเป็นมืดครึ้ม เม็ดฝนร่วงหล่นปรอยๆ ทำให้บรรยากาศสองข้างทางดูเย็นลง ธรรมชาติดูมีชีวิตมากขึ้น นาข้าวสีเขียวแดนซ์ไปตามจังหวะของแรงลม มองไกลๆ เห็นภูเขาชัดขึ้น นี่ฉันไม่ได้เห็นอะไรอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ สองตาเจอแต่ ตึก ตึก ตึก มากี่เดือนแล้วนี่!! จริงอย่างที่เค้าว่ากันนะว่า เวลาเห็นอะไรเขียวๆแล้วจะทำให้รู้สึกดีขึ้น (ถึงแม้จะเห็นอะไรเขียวๆ ทุกวันจากสนามหญ้าและต้นไม้หน้าบ้านแต่มันเขียวไม่โดนใจนี่!)

รถจอดคนหน้าเดิม เดินเข้ามาทักทาย ฉันจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปีแล้วที่ครอบครัวฉันรู้จักกับน้าคนนี้ เค้าเป็นคนคอยดูแลที่นาที่ซื้อไว้และเช่าทำนาไปด้วย นั่งนับดีๆ คงไม่ต่ำกว่า 10 ปีเห็นจะได้ แต่รู้มั้ยฉันไม่เคยรู้แม้กระทั่งชื่อของเค้า กลับถึงบ้านฉันซักไซร้ถามผู้เป็นแม่และได้คำตอบมาว่า "แม่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน" !!!! บางทีชื่อก็ไม่สำคัญสำหรับมิตรภาพ ชื่อก็เป็นเพียงสรรพนามเท่านั้น

ลงจากรถไปสวัสดี เรียบร้อย เดินเล่นดูวัวแล้วก็คุยกับมันอยู่ซักพัก รู้สึกว่าคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเลยแอบเดินขึ้นรถนั่งจดบันทึกเล็กๆ น้อยๆ ไว้เตือนความจำ

เม็ดฝนเทลงมาหนัก ขึ้นๆ กลิ่นขี้วัวลอยมาแตะจมูกแต่ไม่ยักจะเหม็นเท่าไหร่นัก หรือว่าการรับรู้ทางด้านกลิ่นของฉันตายด้านไปแล้ว!! ในขณะนั้น วัว 2 ตัวกำลังยืนเคี้ยวหญ้าพร้อมส่งเสียง "มอ มอ" เป็นระยะๆ เหมือนพวกมันกำลังบอกว่า "อร่อยจังเลยๆ"

ล้อรถบถลงบนถนนลูกรังเคลื่อนมายังถนนลาดยางอีกครั้ง
.....
ฉันชอบวิถีชิวิตของคนชนบท แต่ก็ยังตัดขาดความสะดวกสบายในเมืองกรุงไม่ได้ แต่ซักวันฉันอาจไม่ต้องการมันก็ได้ ใครจะไปรู้ จริงมั้ย ?!