::ในวันที่ฟ้าสีเทา::


วันนี้ตั้งใจว่าจะเข้าเมืองไปเดินเล่น ถ่ายรูป และลิ้มรสเค้กโกโก้ ที่ร้านกาแฟริมแม่น้ำเจ้าพระยาร้านประจำในวันที่หัวใจหม่นหมอง แต่แล้วทุกอย่างก็ล้มไม่เป็นท่าเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ระหว่างกำลังจะข้ามถนนกลับบ้านเมื่อวานบ่าย จะว่าไปแล้วมันอาจจะเป็นโชคดีของฉันที่รถเก๋งคันโตไม่ถอยมาทับจนแบนบี้ เป็นเพียงการชนขาที่ไม่แรงนักพอรู้สึกถึงการกระทบกระเทือนเท่านั้น ฉันเดินกะเผลกพาตัวเองข้ามถนนเข้าบ้าน แม้จะไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แต่มันก็คงจะดีกว่านี้หากอุบัติเหตุที่ว่าไม่เกิดขึ้น จริงไหมคะ : )





ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มาแล้วที่บรรยากาศภายนอกหน้าต่างดูอึมครึม หมอกเมฆสีเทากระจายฟุ้งเกลื่อนฟ้า ลมโหมพัดกระโชกแรงเป็นระยะ แต่ก็แปลกที่ ณ ที่ๆ ฉันพักอาศัยไม่มีเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นให้เห็นเลยสักเม็ด

ฉันว่าอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ก็เหมือนกับสภาพอากาศนี่แหละ มันรวนเรแปรปรวนไม่เคยคงที่ แถมยังไม่เคยหยุดนิ่งอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยหากเมื่อตื่นเช้ามาคนเราจะรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนสายอีกอย่าง กลางวันอีกอย่าง คล้อยบ่ายอีกอย่าง ตกเย็นอีกอย่าง และในเวลาที่ฟากฟ้ามืดสนิทเราก็คงจะมีความรู้สึกในจิตใจอีกอย่างที่ต่างออกไปเช่นกัน


เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้วันนี้ฝนตกหรือพรุ่งนี้แดดออก เฉกเช่นเดียวกัน, เราไม่สามารถไปบังคับกะเกณฑ์ให้หัวใจเราไปรักใครหรือให้หัวใจใครมารักเรา


คนเราไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ สิ่งที่ทำได้คือการเต็มที่กับทุกการกระทำของตัวเอง ซื่อสัตย์ในสิ่งที่คิด แสดงออกให้ตรงกับใจ และเตรียมพร้อมรับทุกสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ทุกอย่างในจักรวาลล้วนมีเส้นทางการเคลื่อนที่และระยะเวลาในตัวของมันเองเสมอ 


พี่นภ พรชำนิเคยบอกว่า "อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ"


แม้ฉันจะไม่ได้พิสมัยวันชื้นฝนมากนัก แต่นั้นก็ไม่ได้ความว่าฉันไม่เคยหลงรักวันฝนพรำซะหน่อย เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ว่าสายรุ้งมักทอแสงสวยที่สุดในวันที่ตลบอบอวลไปด้วยเม็ดฝนนี่หน่า

No comments:

Post a Comment