::ฝนตกลงกลางใจ::
คิดถึงเสียงฝนร่วงพรำกระทบหลังคา
คิดถึงกลิ่นดินดอกหญ้าหลังลมพัดฝนจางหาย
คิดถึงรุ้งบางพาดผ่านฟากฟ้ากว้างไกล
คิดถึงละอองไอหยาดฝนบนกลีบบัว
ในห้วงคะนึงของฤดูกาลฝนแล้ง
::ยี่สิบหก มกรา, หนึ่งวันดีดีดีดีดี::
วันนี้ตื่นเช้า ออกไปเดินเล่นที่สวนรถไฟ
การตื่นเช้าคือหนึ่งเรื่องดี
ระหว่างทางมีคนเป็นลมบนรถไฟ คนข้างๆ ช่วยกันพาน้องเขามานั่ง
การช่วยเหลือกันคือหนึ่งเรื่องดี
เดินเล่นคนเดียวเรื่อยๆ สักพักโก้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน
การพบพูดคุยกับโก้คือหนึ่งเรื่องดี
เดินคุยไปถ่ายรูปไป คุณพ่อ คุณแม่ ลูกสาว ลูกชาย พี่ ป้า น้า อา ต่างพากันมาเที่ยวสวน
การได้เห็นหลากหลายครอบครัวแบ่งปันเวลาให้กันและกันคือหนึ่งเรื่องดี
ทั้งหมดทั้งมวลมาจากความอยากถ่ายรูปขั้นสูงสุด
และการได้กดชัตเตอร์คืออีกหนึ่งเรื่องดี
ขอบคุณทุกเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เห็นและได้ไตร่ตรอง
::หนึ่ง มกรา ห้าหก::
นักเดินทาง
แบกเป้เร่ร้างสู่หนไหน?
ร้อยดงพันดอยด้นไป
เหนื่อยไหม? หัวใจคนจร
นักเดินทาง
ฤา? พระจันทร์สาปสร้างร่างหลอน
ร้างเรือนไร้รักแรมรอน
เหนื่อยนักพักนอนเพียงคืน
ดื่มดาวดิ่งดำทะเลสาบ
ดื่มแดดแผดอาบตราบตื่น
ดื่มลมห่มโหมโครมครืน
ดื่มกลืนดื่มกินวิญญาณ์
นักเดินทาง
แบกคำถามเร่ร้างไปข้างหน้า
รอใครสักคนดั้นด้นมา
แลกคำตอบตามประสานักเดินทาง
- บินทีละหลา, บินหลา สันกาลาคีรี
2555 คือปีแห่งการเดินทางของเรา แต่สิ่งที่หลงลืมร่วงหล่นระหว่างทางคือการจดบันทึก
2556 ก็ไม่ต่างอะไรจากปีที่แล้วมากนัก มีหลากหลายเส้นทางรอเราอยู่ในวันข้างหน้า แต่เราจะไม่หลงลืมการจดบันทึกการเดินทางอีกแล้ว และนี่จะทำให้ปีนี้แตกต่างและสมบูรณ์กว่าปีที่ผ่านมา
ด้วยรักและตระหนักในตัวตน
::บทบันทึกในเช้าวันหนึ่ง::
ยามเช้าวันจันทร์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทา เสียงเพลงคลอเบาในเรือนไม้ซึ่งถูกตกแต่งให้เป็นร้านกาแฟในฝัน เรานั่งติดริมถนนมีต้นไม้ต้นเล็กกั้นพอให้รู้สึกไม่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว
เสียงนกจิ๊บๆ ร้องดังอยู่ลิบๆ สลับกับเสียงเครื่องยนต์จากสองล้อคันเล็ก แม้ไม่ใช่เสียงที่พึงปรารถนา แต่ทว่าไม่ได้ขัดข้องใจ
สายลมพัดเอื่อยให้ความรู้สึกเย็นที่ผิวกาย ฝนคงใกล้ร่วงหล่นเต็มที
นักเดินทางพลัดถิ่นหลายคนเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง บ้างกลับบ้าน บ้างหาที่ผ่อนกายพักใจแห่งใหม่ แต่ด้วยธรรมชาติไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งนกทุกตัวจะกลับคืนสู่รัง
ณ ปาย
::มองเท้าบ้าง::
1
"คนเราเดินไปตามความฝัน ความฝันสุดขอบฟ้า เจิดจ้ากว่าดวงตะวัน แต่ความจริงนั้นอยู่ที่ปลายเท้าเราเอง"
2
คืนก่อนวันเดินทางครั้งล่าสุด เราแทบไม่ได้หลับได้นอน เก็บกระเป๋า จัดการ memory card เตรียมกล้อง เลือกหนังสือ และเลือกเพลงสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เราเริ่มทำ road mix cd มาหลายปีแล้ว มันช่วยให้เรื่องราวระหว่างการเดินทางมีสีสัน บางครั้ง, เราจดจำช่วงเวลานั้นๆ ได้ด้วยบรรยากาศข้างนอก บางครั้ง, เราจดจำช่วงเวลานั้นๆ ได้ด้วยบรรยากาศข้างใน เราหมายถึงทิวทัศน์และเสียงเพลง
3
เราเรียกช่วงเวลานี้ว่า "The Adventure Season" ในรอบ 3 เดือนนี้เราแบ่งการเดินทางออกเป็น 4 ครั้ง แต่ละครั้งต่างก็มีความเป็นตัวของตัวเอง การเดินทางครั้งแรกจบไปแล้ว ไปที่ๆ เคยไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้ตื่นตา หากแต่สงบและสุขใจ
4
"ย่างเข้าเดือนหกฝนก็ตกพรำๆ" เขาว่ากันอย่างนั้น ฟ้าอาจกำลังร้องลั่น ฝนอาจกำลังร้องไห้ กบอาจกำลังร้องระงม แต่เราจะยังคงออกเดินทาง
5
ด้วยปลายเท้าเราเอง :)
::ไผ่แดง::
โดยปกติมีนวนิยายอยู่ไม่มากนักที่เราหลงใหลในบทประพันธ์ และหนึ่งในนั้นคือนวนิยายเสียดสีสังคมเรื่อง"ไผ่แดง"
ไผ่เป็นลำเป็นกลุ่มเป็นกอ ไผ่จะล้อเล่นลม
ไปตามทางที่เหมาะสม ไปตามทิศทางลม
ไผ่ตามพันธุ์ ต่างเผ่า ต่างกอ ไผ่ก็ยังต่างสี
ดังผู้คนในสังคมเรานี่ใยจะไม่ต่างกัน
คนละทาง คนละอย่าง คนละอุดมการณ์
แต่ก็มีจุดหมายเดียวกันเป็นเรื่องราวของชาวไผ่แดง
บ้างก็รู้กันอยู่แก่ใจ บ้างก็ฝันกันไป
แต่จงจำไว้ก่อนจะสายอย่าให้ใครมาสนตะพาย
- ไผ่แดง, เฑียรี่ เมฆวัฒนา
ทั้งบทประพันธ์และบทเพลงยังคงใช้ได้กับยุคนั้นจวบจบมาถึงยุคนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือน่าเศร้าใจกันแน่
แต่สุดท้าย, ไม่ว่าจะเป็นไผ่พันธุ์ใด มาจากเผ่าไหน จะกอใหญ่หรือเล็ก แม้แต่เป็นไผ่สีอะไรก็ตาม เราทุกคนต่างก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป และการประคองใจให้ยืนยัดกับเส้นทางที่เลือกเดินนี่ล่ะเป็นสิ่งสำคัญ
::Art Normal | ปกติศิลป์::
เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปปั่นจักรยานชมเมืองราชบุรีเพื่อถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวเล็กๆ ซึ่งเป็นโปรเจคใหม่ของเรา

ครั้งนี้เราออกเดินทางด้วยรถไฟขบวนที่ 43 เป็นรถด่วนพิเศษ sprinter หัวลำโพง - สุราษฎร์ธานี เมื่อเราไปถึงหัวลำโพง ทางสถานีได้แจ้งว่ารถไฟขบวนนี้จะออกเดินท างช้ากว่าเวลาบนตั๋ว 15 นาที มันเป็นภาพเหตุการณ์ทับซ้อนเหมือนเคยเกิดขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่าเมื่อขึ้นรถไฟ รอ ร๊อ รอ ชะโงกแล้วชะโงกเล่า และเมื่อเวลาผ่านไป 40 นาที รถไฟที่รักก็ค่อยๆ มุ่งตรงสู่ชานชาลาที่ 9

ระหว่างการเดินทาง, มีฝรั่งหนุ่มสาว 2 คนในโบกี้ขึ้นผิดขบวน เจ้าหน้าที่ก็พยายามสื่อสารและอธิบายยืดยาวถึงการทำงาน เราเข้าใจว่ากฏต้องเป็นไปตา มกฏแต่ก็แอบสงสารหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ได้ เราพยายามช่วยสื่อสารเต็มที ่แล้ว และภาวนาว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่คงถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
เราถึงสถานีรถไฟราชบุรีประมาณ 11 โมงกว่า ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะตั้้ง ใจจะกลับรถไฟฟรีตอน 4 โมงเย็น แต่ก็ต้องตกรถเพราะเพลิดเพลินกับการปั่นจักรยานชมเมืองไปหน่อย
เราใช้บริการรถมอเตอร์ไซรับ จ้างที่จอดอยู่หน้าสถานี คนขับชื่อ"พี่ตี๋" แกบอกว่าถ้าจำชื่อไม่ได้จำแค่เบอร์2 ก็พอ พี่แกแจกเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อการใช้บริการในขากลับ พี่ตี๋คิดเรา 30 บาทจากสถานีรถไฟไป D Kunst Gallery ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองบน ถนนวรเดช เราถือว่าเป็นราคาที่รับได้เพราะก็ไกลอยู่เหมือนกัน



เราประทับใจทั้งเจ้าของแกลอรี่และน้องๆ ที่ทำงานในแกลอรี่มาก เป็นกันเอง พูดจาดี และดูแลดี แต่ลาเต้มันหวานไปหน่อยนะ! นอกจากนี้เรายังชอบดีไชน์ของห้องน้ำในแกลอรี่มากๆ วัสดุที่ใช้มัน art normal สมชื่องานสุดๆ

แม้เราจะไม่ได้ปั่นไปครบทุกที่ที่อยู่ในแผนที่ของการจัดงาน เพราะทีแรกเราตั้งใจจะกลับรถไฟซึ่งทำให้เรามีเวลาอยู่ในเมืองแค่ 4 ชั่วโมง ปั่นไปร้านตัดผมยืนคุยกับคุณลงเจ้าของร้านก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว เราก็ค้นพบว่าเราชอบการพูดคุย แลกเปลี่ยนทรรศนะกับผู้คนเหล่านี้ ชอบที่ได้ถามและรับรู้ ไม่เบื่อเลยที่ยืนฟังลุงแกเล่าทั้งเรื่องสมาคมตัดผม เรื่องประวัติร้านของแก และเลยไปถึงเรื่องอื่นๆ เราว่ามันสนุกดี

ช่วงเย็นๆ จะมีตลาดนัดมาขายบนถนนริมแม่น้ำแม่กลอง ไม่แน่ใจว่ามีเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์รึเปล่า เราติดใจกับแผงที่ให้เด็กๆ มานั่งระบายสีมาก มันเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆ มีศิลปะอยู่ในใจ ทำให้พ่อแม่ที่พาลูกๆ มาใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้ผ่อนคลายไปกับการช่วยลูกละเลงสีด้วย : )


โดยรวม, เราว่างาน Art Normal เป็นงานเฉพาะกลุ่ม เพราะขนาดคนในตัวเมืองราชบุรีเองยังไม่รู้เลย แต่ก็ไม่เป็นไร เราเชื่อว่าคนกลุ่มน้อยถ้าตั้งใจจริงก็สามารถทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน

ส่วนใครที่ยังไม่ได้ไปเราอยากให้ลองไปดู ส่วนตัวเราก็อยากกลับไปปั่นอีกรอบให้ครบทุกที่ ผู้คนที่นี่น่ารัก ปั่นจักรยานไปที่ไหนต้องมีป้าๆ ลุงๆ ถามไถ่และยิ้มให้เราตลอด มันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและเป็นมิตร ถ้าปั่นในกรุงเทพฯ คงเจอแต่มลพิษเข้ามาทักทาย "ปอดจ๋า โอเคมั้ย?!"
ขอให้สนุกกับการเดินทาง แล้วเจอกันทริปหน้าค่ะ :)


ครั้งนี้เราออกเดินทางด้วยรถไฟขบวนที่ 43 เป็นรถด่วนพิเศษ sprinter หัวลำโพง - สุราษฎร์ธานี เมื่อเราไปถึงหัวลำโพง ทางสถานีได้แจ้งว่ารถไฟขบวนนี้จะออกเดินท างช้ากว่าเวลาบนตั๋ว 15 นาที มันเป็นภาพเหตุการณ์ทับซ้อนเหมือนเคยเกิดขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่าเมื่อขึ้นรถไฟ รอ ร๊อ รอ ชะโงกแล้วชะโงกเล่า และเมื่อเวลาผ่านไป 40 นาที รถไฟที่รักก็ค่อยๆ มุ่งตรงสู่ชานชาลาที่ 9

ระหว่างการเดินทาง, มีฝรั่งหนุ่มสาว 2 คนในโบกี้ขึ้นผิดขบวน เจ้าหน้าที่ก็พยายามสื่อสารและอธิบายยืดยาวถึงการทำงาน เราเข้าใจว่ากฏต้องเป็นไปตา มกฏแต่ก็แอบสงสารหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ได้ เราพยายามช่วยสื่อสารเต็มที ่แล้ว และภาวนาว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่คงถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
เราถึงสถานีรถไฟราชบุรีประมาณ 11 โมงกว่า ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะตั้้ง ใจจะกลับรถไฟฟรีตอน 4 โมงเย็น แต่ก็ต้องตกรถเพราะเพลิดเพลินกับการปั่นจักรยานชมเมืองไปหน่อย

เราใช้บริการรถมอเตอร์ไซรับ จ้างที่จอดอยู่หน้าสถานี คนขับชื่อ"พี่ตี๋" แกบอกว่าถ้าจำชื่อไม่ได้จำแค่เบอร์2 ก็พอ พี่แกแจกเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อการใช้บริการในขากลับ พี่ตี๋คิดเรา 30 บาทจากสถานีรถไฟไป D Kunst Gallery ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองบน ถนนวรเดช เราถือว่าเป็นราคาที่รับได้เพราะก็ไกลอยู่เหมือนกัน


ก่อนมาเราพยายามหารายละเอียดเกี่ยวกับร้านเช่าจักรยานและพบว่าในตัวเมืองราชบุรีไม่มีร้านเช่าจักรยานหรือมอเตอร์ไซ แต่เชื่อว่าอีกหน่อยคงจะมีเพราะคนนิยมปั่นจักรยานกันมากขึ้น เราโชคดีที่จักรยานของทางแกลอรี่ยังมีเหลืออยู่บ้าง เขาให้ยืมฟรีแค่แลกบัตรประชาชน เจ๋งมากๆ

เราประทับใจทั้งเจ้าของแกลอรี่และน้องๆ ที่ทำงานในแกลอรี่มาก เป็นกันเอง พูดจาดี และดูแลดี แต่ลาเต้มันหวานไปหน่อยนะ! นอกจากนี้เรายังชอบดีไชน์ของห้องน้ำในแกลอรี่มากๆ วัสดุที่ใช้มัน art normal สมชื่องานสุดๆ

แม้เราจะไม่ได้ปั่นไปครบทุกที่ที่อยู่ในแผนที่ของการจัดงาน เพราะทีแรกเราตั้งใจจะกลับรถไฟซึ่งทำให้เรามีเวลาอยู่ในเมืองแค่ 4 ชั่วโมง ปั่นไปร้านตัดผมยืนคุยกับคุณลงเจ้าของร้านก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว เราก็ค้นพบว่าเราชอบการพูดคุย แลกเปลี่ยนทรรศนะกับผู้คนเหล่านี้ ชอบที่ได้ถามและรับรู้ ไม่เบื่อเลยที่ยืนฟังลุงแกเล่าทั้งเรื่องสมาคมตัดผม เรื่องประวัติร้านของแก และเลยไปถึงเรื่องอื่นๆ เราว่ามันสนุกดี

ช่วงเย็นๆ จะมีตลาดนัดมาขายบนถนนริมแม่น้ำแม่กลอง ไม่แน่ใจว่ามีเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์รึเปล่า เราติดใจกับแผงที่ให้เด็กๆ มานั่งระบายสีมาก มันเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆ มีศิลปะอยู่ในใจ ทำให้พ่อแม่ที่พาลูกๆ มาใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้ผ่อนคลายไปกับการช่วยลูกละเลงสีด้วย : )


โดยรวม, เราว่างาน Art Normal เป็นงานเฉพาะกลุ่ม เพราะขนาดคนในตัวเมืองราชบุรีเองยังไม่รู้เลย แต่ก็ไม่เป็นไร เราเชื่อว่าคนกลุ่มน้อยถ้าตั้งใจจริงก็สามารถทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน

ส่วนใครที่ยังไม่ได้ไปเราอยากให้ลองไปดู ส่วนตัวเราก็อยากกลับไปปั่นอีกรอบให้ครบทุกที่ ผู้คนที่นี่น่ารัก ปั่นจักรยานไปที่ไหนต้องมีป้าๆ ลุงๆ ถามไถ่และยิ้มให้เราตลอด มันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและเป็นมิตร ถ้าปั่นในกรุงเทพฯ คงเจอแต่มลพิษเข้ามาทักทาย "ปอดจ๋า โอเคมั้ย?!"
ขอให้สนุกกับการเดินทาง แล้วเจอกันทริปหน้าค่ะ :)

FYI: งาน Art Normal ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 15 เมษาฯ นะคะ
Subscribe to:
Posts (Atom)