::ขอบคุณค่ะ::


ไดอารี่หน้านี้อยากมอบให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ที่คอยเข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันเสมอ ทั้งๆ ที่พักหลังมานี่ฉันก็ไม่ค่อยได้เข้าไปทักทายใครเท่าไหร่เลย แต่หลายๆ คนก็ยังหมั่นเปิดไดอารี่ของฉัน เข้ามาทักทาย ถามไถ่ หรือแม้กระทั่งไปกระตุ้นฉันถึงใน facebook ให้กลับมาเขียนไดอารี่บ้าง อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ไม่ได้จะเลิกเขียนไดฯ แต่แค่มีความรู้สึกอยากจะขอบคุณจากหัวใจจริงๆ : )


อย่างที่เคยบอกอยู่บ่อยๆ ว่าฉันรักมิตรภาพที่อบอุ่นที่เกิดขึ้นที่นี่ ฉันเคยมีความคิดจะเลิกเขียนไดฯที่นี่ เพราะหลายๆ ครั้งฉันมีความรู้สึกว่า เด็กๆ หน้าใหม่เริ่มเข้ามาเขียนที่นี่เยอะ และอะไรๆ ดูจะไม่เหมือนเดิม แต่เพราะความอบอุ่นที่อบอวลที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากวันวานของที่นี่ ทำให้ฉันเลิกไม่ลงและไปไหนไม่รอด ไปเขียนที่อื่นได้ไม่นานก็ต้องกลับมา โดยส่วนตัวแล้วฉันพบว่าไม่มีสังคมออนไลน์ที่ไหนอบอุ่นเท่าที่นี่เลยจริงๆ


มีหลายๆ คนที่ฉันรู้จักตั้งแต่ไดฯฮับ แต่ฉันว่าไดฯอิสทำให้พวกเราใกล้ชิดกันมากขึ้น อาจจะเป็นช่วงของวัยและความคิดที่โตขึ้น เรื่องราวหลายอย่างที่ก่อนจะกดปุ่มบันทึกถูกคัดกรองมาแล้วส่วนหนึ่ง แม้บางคนจะเลิกเขียนไปแล้วแต่ก็ยังคงติดต่อกันบ้าง สำหรับคนที่ยังคงพบปะกันที่นี่ มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกดีกับทุกคนมากขึ้น แม้ใครคนอื่นอาจมองว่ามันเป็นเพียงตัวอักษรไร้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ แต่สำหรับฉัน ฉันสัมผัสได้ว่าพี่ๆ หลายคนคอยมองดูการเติบโตของฉันอยู่ เพื่อนๆ หลายคนคอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อนที่รับฟังเวลาฉันต้องการที่พึ่ง น้องๆ หลายคนสร้างรอยยิ้มให้กับฉันในวันที่ไม่คาดว่าตัวเองจะยิ้มออก


ไม่รู้เหมือนกันนะคะ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้ฉันอยากจะเขียนไดอารี่หน้านี้ไว้ ในวันที่ความรู้สึกดีมันอัดอั้นเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียว : )





หนึ่งในคอมเมนต์ที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกอิ่มใจมากที่สุดคือการได้เห็นคอมเมนต์ของพี่คนนี้ เพราะเป็นเวลานานเกือบปีแล้วที่ฉันไม่เห็นชื่อไดฯนี้ขึ้นสีน้ำเงิน และถ้าพี่ได้เข้ามาอ่านไดอารี่หน้านี้ของหนู หนูอยากเอ่ยคำว่า "ขอบคุณค่ะ" และถ้าพี่มีเวลา ก็อยากจะบอกว่าหนูยังอยากอ่านเรื่องราวของพี่อยู่เสมอนะคะ


นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายๆ คนที่ฉันอยากจะบันทึกไว้ในไดอารี่หน้านี้ พี่ปิ๋ม, แอ๊ะ, น้องหวาย, พี่ฝนพรำ, ตาล, พี่เบีย, คุณ p-jung, พี่หนุ่ม, น้องมุ่ย และจิ๊ก บางคนฝากความเป็นห่วงเป็นใย กำลังใจ ข้อคิด ผ่านคอมเมนต์ บางคนฝากคำทักทาย คำชื่นชม และเสียงหัวเราะเล็กๆ เอาไว้ใต้ตัวอักษรเหล่านั้น ในขณะที่บางคนได้ฝากรอยยิ้ม บ้างยิ้มแฉ่ง บ้างยิ้มทะเล้น บ้างก็ดูเหมือนจะแอบยิ้มแบบเขินๆ ;P


ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์รูปแบบไหน ก็อยากจะบอกว่า ขอบคุณมากๆ นะคะ และดีใจมากที่ได้รู้จักทุกๆ คน : )

::พรหมลิขิต::


คุณเชื่อในพรหมลิขิตกันบ้างไหมคะ?

สำหรับฉันเอง, ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่เพียงไม่เคยมีคำถามประเภทนี้อยู่ในความคิดเลยก่อนที่จะมาพบกับเขา


ฉันห่างหายจากความรักมานานหลายปีแล้ว นานพอที่จะทำให้ตัวเองคิดว่าหัวใจดวงนี้อาจด้านชา หรือไม่ก็เคยชินกับการอยู่คนเดียวไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เดินเข้ามาทำให้ก้อนเนื้อสีแดงก้อนนี้ เกินการสั่นไหวเล็กๆ จับจังหวะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง


มันไม่ใช่รักแรกพบหรืออะไรพรรณนั้น ในความจริงแล้วมันอาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของความชอบและประทับใจ ทุกวันนี้ เราอยู่ในขั้นตอนของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านพ้น ฉันพบว่ามันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เรามีความคิดในทิศทางเดียวกัน อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็มากพอที่จะทำฉันสนใจในความเป็นตัวเขามากขึ้น


ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นพรหมลิขิต แต่หลายๆ อย่างทำให้ฉันแอบรู้สึกว่ามันอาจจะใช่ เรามีกิจกรรมหลายๆ อย่างคล้ายกันซึ่งเราน่าจะเคยเดินเฉียดกันไปมา อีกทั้งที่ทำงานเก่าของฉันก็อยู่ใกล้กับเขาเสียจนไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายเราก็ไปเจอกันในที่ๆ ไม่น่าจะเจอกันได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นเพียงหนึ่งในเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งของชีวิต เพราะถ้ามันเป็นพรหมลิขิตพื้นที่ในหัวใจของเขาคงไม่มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว

เหมือนเช่นวันนี้...

::บทบันทึกหน้าสุดท้าย::


วันเวลาหมุนผ่าน 365 วันที่ดูเหมือนเนิ่นนานกลับเดินทางเร็วดั่งลมพายุ อาจจะเพราะฉันประมาทเกินไปในการเดินทางรอบปีนี้

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี หลังเสียงตะโกนก้องร้องดีใจต้อนรับปี 2553 จบลง น้ำตาของฉันไหลพรากและไม่สามารถนอนได้เลยตลอดคืนนั้น มันไหลออกมาจากความกดดันที่มีต่อตัวเองในเรื่องอนาคต เหมือนสัญญาณเตือนภัยอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจ


ปลายเดือนเมษายน ฉันได้งานทำ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลากหลายอย่าง ตื่นเช้าขึ้น มีสังคมมากขึ้น มีความอดทนอดกลั้นมากขึ้น รู้จักใช้เวลาให้คุ้มค่ามากขึ้น และที่สำัคัญฉันรู้ว่างานประเภทนั่งโต๊ะ มีเพื่อนเป็นคอมพิวเตอร์และกระดาษไม่ใช้งานสำหรับฉันเลย


ต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อนร่วมเดินทางคนสำคัญของฉันเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ นี่เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สำคัญที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่พิสมัยการใช้ชีวิตในปีนี้ กลางเดือนพฤษภาคม ได้ไปเที่ยวกับญาติพี่น้องครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตัวฉันประทับใจมาก เป็นการเดินทางที่ดีเลยทีเดียว


ปลายเดือนพฤษภาคม ไปเกาะล้านกับเพื่อนสนิท สนุกแต่ไม่สุด อย่างไรก็ตาม การไปครั้งนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า การที่คนเรามัวหมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา อาจจะทำให้เราพลาดอะไรดีๆ ที่มาจากความไม่สมบูรณ์แบบไปได้เช่นกัน อย่ามัวแต่ทำตามแผนที่วางไว้ ปล่อยๆ มันไปบ้างอาจจะสนุกกับชีวิตมากขึ้น เพราะคนเราไม่สามารถกะระยะการก้าวย่างในแต่ละครั้งให้เท่ากันได้เสมอไป


ช่วงกลางปี ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่กำลังเสียศูนย์สุดๆ ในปีนี้ ฉันไม่สามารถจำจดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีบทบันทึกอื่นใดนอกจาก 2 ไดอารี่ที่ถูกบันทึกไว้ในที่แห่งนี้ ฉันว่าอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ปีนี้ไม่น่าพิสมัยเลย คือการไม่จดบันทึกเรื่องราวระหว่างของฉันเอง :(


เดือนพฤศจิกายน ฉันได้คำตอบให้กับตัวเองว่าฉันขอเลือกที่จะเดินทางกลับคืนรัง ใช่, ดอกไม้สองข้างทางที่นั่นสวยงามเมื่อแรกเห็น แต่เมื่ออยู่ไปฉันกลับเห็นแต่ความเหี่ยวเฉา กลีบดอกร่วงหล่น แม้ฉันจะหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดูแลเอาใจใส่ ทว่ามันก็ไม่สามารถกลับมาสวยงามเหมือนแรกเห็น เป็นไปได้ว่าคนอื่นอาจจะดูแลมันได้ดีกว่าฉัน


เดือนธันวาคม กลางเดือนฉันเก็บของและิมิตรภาพที่ดีที่เกิดขึ้นกลับคืนรังอย่างที่ตัดสินใจไว้ ไม่คิดว่าจะรู้สึกโหวงเหวงใจได้ขนานนั้น แต่มันก็เกิดขึ้น อาจจะเพราะสิ่งที่ได้รับมันมากกว่าสิ่งที่ฉันได้ให้ก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละที่ฉันรู้สึกถึงความเสียใจ แต่ก็เอาเถอะ เพราะสุดท้ายแล้ว ฉันได้กลับมาทำหลายๆ สิ่งที่ไม่มีโอกาสได้ทำตลอดปีที่ผ่านมา มีเวลาได้คิดและไตร่ตรอง ได้ตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ


2553 เดินทางน้อยมาก แต่ได้ถ่ายรูปมากขึ้น จดบันทึกน้อยมาก แต่เพ้อฝันมากขึ้น มีเวลาน้อยมาก แต่เข้าสังคมมากขึ้น คิดมากและเครียดมาก แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองยิ้มมากขึ้น เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่เหมือนความเป็นตัวเองโดนกลืนไปมากขึ้น หาเงินได้มาก แต่ก็ใช้เงินมากขึ้นเช่นกัน


2554 หวังว่าเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นจะไม่แย่ไปกว่าปีนี้ จะพยายามปรับปรุงตัวเองในหลายๆ เรื่อง หรืออย่างน้อยก็จะไม่ทำตัวให้แย่กว่าปีที่ผ่านๆ มา :)


ณ ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงสำหรับปีนี้ ใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขนะคะทุกคน สวัสดีวันสุดท้ายของปีเสือค่ะ :D

::กลับคืนรัง::


สวัสดีวันเสาร์ วันที่ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ฉันได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ฉันรัก


เวลาเราร้างลาอะไรไปนานๆ พอได้กลับมาพบเจออีกครั้งก็มักจะดูเก้ๆ กังๆ ยังไงพิกล ที่หายไปหลายเดือนก็ไม่ใช่ไม่คิดถึงนะ แต่คิดถึงมากต่างหาก ไม่อยากจะอ้างว่าด้วยเวลาหรืออะไรก็ตาม เพราะสุดท้ายถ้าใจมันรักมันชอบ มันก็ต้องหาเวลามาพบปะเจอกันได้อยู่ดี ดั่งเช่นวันนี้ :)

หลายเดือนที่ผ่านมา ฉันได้ลองไปใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง รูปแบบที่หากใครรู้จักฉันดีคงข้องใจไม่น้อยในสิ่งที่ฉันตัดสินใจทำ เลยผ่านมาจนถึงตัดสินใจทนมาถึงทุกวันนี้ แต่นั่นก็มันไม่ได้หมายความว่าตลอดไป


ฉันไม่มีตัวเลขไหนที่ชอบเป็นพิเศษ แต่ ณ เวลานี้ เลขเจ็ดช่างเป็นตัวเลขที่ดูสวยงามเสียเหลือเกิน มันน่าจะเป็นเลขมงคลและเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับฉันในตอนนี้ เจ็ดเดือน พอแล้ว พอกันที


ต่อไปนี้ ฉันจะโบกโบยบินกลับคืนรัง-รังที่ฉันโบยบินจากมา





ช่วงเวลาว่างที่ไม่ได้จับปากกาหรือแตะสัมผัสแป้นพิมพ์ร้อยเรียงเล่าเรื่องราว ฉันค้นพบว่าการกดชัตเตอร์ช่วยผ่อนคลายหลายหลายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่เพิ่งรู้ว่ารัก แต่กำลังจะบอกว่าฉันรักการถ่ายภาพมากกว่าเดิม มากจนใกล้เคียงกับการเดินทาง และการถ่ายทอดเรื่องราว ที่เป็นเรื่องบ้างไม่เป็นเรื่องบ้างผ่านอักขระทั้งไทยและเทศ แม้ภาพที่ออกมาไม่ได้สวยงามเลอเลิศ แต่แค่เราได้ทำในสิ่งที่ทำแล้วเราสุขใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?





เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ฉันไปงานเทศกาลละครกรุงเทพที่สวนสันติฯ อากาศดี โชว์สนุก ถ้าใครสนใจลองแวะไปกันนะ ยังมีถึงวันพรุ่งนี้ คาดว่าอาทิตย์นี้คนน่าจะเยอะกว่าอาทิตย์ที่แล้ว คนเยอะ แต่อากาศดี โชว์สนุก ก็สุขใจไปอีกแบบ





และถึงแม้จะไม่มีงานอะไร ฉันก็สุขใจทุกครั้งที่ได้พาตัวเองไปแถวนั้นอยู่ดี การยืนมองคลื่นน้ำพัดเข้าฝั่งก็เป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง การเห็นเรือน้อยใหญ่แล่นผ่านสายตานั่นก็ใช่ การที่นักเดินทางแบกเป้ใบโตเดินผ่านหน้าไป ก็เป็นแรงสูบฉีดที่ดีให้เริ่มออกเดินทางไปไหนสักแห่ง และแม้สิ่งที่เคลื่อนผ่านบนท้องถนนราชดำเนินจะดูวุ่นวายมากเพียงใด แต่ฉันก็ตกหลุมรักบรรยากาศเหล่านี้ทุกครั้งที่ได้ผ่านมา





บางสถานที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เชื่อไหมว่ามันมักจะมีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ในความไม่มีอะไรนั้นอยู่เสมอ คล้ายๆ กับฉากหน้าของหนุ่มสาวบางคนที่ดูแสนจะธรรมดา แต่ลึกๆ แล้วฉากหลังของความธรรมดาของผู้คนเหล่านั้น ก็มักจะซ่อนสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้ใครอีกหลายคนหลงรักได้อย่างไม่ยากเย็น


ต่อจากนี้ไป หวังว่าจะได้พบเจอกันบ่อยขึ้น : )

::ความงดงามถูกซ่อนเร้นอยู่ในทุกฤดูกาล::


ฤดูกาลฝนพรำเดินทางมาถึงอย่างแท้จริงแล้ว ฟ้าครึ้มๆ ลมพัดใบไม้ไหว เสียงฟ้าคำรามก้องกังวาน สายฝนค่อยๆ ร่วงหล่นจากฟ้ากว้าง นกน้อยใหญ่ต่างโผบินกลับรัง ผู้คนรีบเร่งหาที่กำบัง บ้างโชคดี-บ้างโชคร้าย


หลากหลายชีวิตเปรียบเปรยฤดูฝนนี้ดั่งอุปสรรคที่ขวางกั้น แต่เมื่อดอกไม้เริ่มร่วงหล่น สายฝนเริ่มจางหาย สายลมเริ่มเปลี่ยนทิศพัดมาทางทิศเหนือ และท้องฟ้ากว้างไม่อึมครึมอีกต่อไป เมื่อนั้นเราจะเห็นคุณค่าของฤดูฝนที่หลากหลายชีวิตเกลียดชัง


ทุกๆ ฤดูกาลมีความงดงามซ่อนเร้นอยู่ ไม่ว่าจะร้อน ฝน หรือหนาวก็ล้วนสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ทั้งสิ้น คงเหมือนกับคนเราทุกคนที่ต่างคนก็มีความงดงามเป็นของตนเอง

::Under Construction::


ปีที่ผ่านมาเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหลงทาง เลยมาจนถึงกลางปีนี้ ฉันก็ยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ แต่มาคิดๆ ดูอีกทีก็ว่าดีเหมือนกัน ณ เวลานี้ ณ ที่ตรงนี้ ฉันรู้เลยว่าฉันเองหลงมาไกล การที่ได้เจอผู้คนใหม่ๆ ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ไม่เคยปรารถนา ก็ยิ่งทำให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น มั่นใจในสิ่งที่ชอบมากขึ้น และรู้ว่าสถานที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของฉันจริงๆ


ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นั่นแหละว่า หากไม่เคยล้มจะลุกเป็นได้อย่างไร หากไม่เคยถูกขัดใจก็คงจะไม่ได้ลิ้มรสความพอใจจริงๆ


ฉันเชื่อว่าทุกคนมีบางสิ่งที่ต้องทำและรับผิดชอบ บางคนโชคดีหน่อยที่บางสิ่งที่ว่าคือสิ่งที่ฝัน แต่กับบางคน หากสิ่งนั้นไม่ใช่ความฝันของเราก็ไม่เป็นไร แค่เพียงอย่าละทิ้งฝันก็พอ ใช้วิธีลดเวลาให้กับความฝันลงสักนิด แล้วค่อยๆ ก่อฝันไปทีละหน่อย อาจไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้เหมือนคนอื่นเขา แต่สักวันเราก็จะได้เห็นรูปเห็นร่างของมันเหมือนกัน


และสักวัน ฉันก็จะเห็นรูปร่างของความฝันที่ฉันกำลังค่อยๆ ก่อขึ้นเช่นกัน "My dream is under construction" ;P


ช่วงนี้บ้านเมืองเราไม่ดีเลยเนอะ เหมือนจะดีขึ้นมานิดนึง แต่แล้วก็กลับกลายเป็นแย่ลงยกกำลังสอง พอกฎหมู่มันอยู่เหนือกฎหมายอะไรหลายๆ อย่างก็ยากที่จะจัดการ แต่ฉันก็เชื่อว่าทุกๆ อย่างมันมีระยะเวลาของมัน ขอเพียงแค่อย่าหยุดเดิน อย่าหยุดพยายาม อย่าสิ้นหวัง สักวันเราจะเห็นอะไรที่ดีขึ้นในประเทศของเราอย่างแน่นอน


การเปลี่ยนแปลงก็คล้ายๆ กับความฝันที่ฉันจะไม่ขอให้มันเป็นจริง แต่ฉันจะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นจริง ถึงแม้ต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม "Thailand is under construction"

::Alive::





I am still ALIVE ...
=)