ทุกวันนี้เลยพยายามจัด เวลาให้ดี ไม่ทำตัวปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เหมือนตอนนี้หวงเวลา ไม่อยากให้มันผ่านไปโดยไร้ค่า แต่ใครจะไปห้ามมันได้ ที่จริงแล้วเวลามันไม่ได้เดินเร็ว มันก็เดินติ๊กตอกๆ ของมันไปเรื่อย มีเพียงตัวเราที่ไม่มีจังหวะในการเดิน ไม่สามารถเดินติ๊กตอกๆ อย่างมันได้ เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว
.....
หลายวันก่อนไปนั่งพักกาย ผ่อนใจที่ทะเล ถึงแม้หาดทรายจะไม่ขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลจะไม่สวยสีฟ้าใสอย่างทะเลทางภาคใต้ หรือตามเกาะต่างๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีไม่ใช่น้อย แอกที่แบกอยู่บนบ่าเหมือนหายไปชั่วคราว
ตอนกลางคืนเดินรับลมก่อน นอน ได้ยินกลุ่มข้างๆเค้าคุยกันว่าวันนี้ลมทะเลไม่เหนียวตัวเลย ซึ่งมันก็ จริง ไม่เหนียวตัวจริงๆ (นี่ถ้าไม่ได้ยินเค้าพูดกัน ฉันก็จะไม่รู้สึกว่ามันไม่เหนียวตัวนะเนี่ย .. ความรู้สึกตายด้าน!!)
อากาศช่วงเช้าที่นี่ถือได้ว่าเย็นพอรู้สึกได้ แต่พอช่วงกลางวันก็ไม่ต่างกับกรุงเทพมากนัก แต่น่าจะร้อนน้อยกว่า
ตอนเช้าในขณะที่กำลังรอ
คอยแสงตะวัน
พบกับเด็กผู้หญิงคนนึงเดินแบกห่วงยางสีดำอันใหญ่สำหรับให้คนเช่าเดินไปเดิน
มา ทีแรกเดาว่าน่าจะราวๆ 10 ขวบ เพราะดูลักษณะยังเด็กอยู่
เลยเดินเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าน้องเค้าอายุ 13 อยู่ ม.1
แล้วถามน้องเค้าอีกว่าแล้วพ่อแม่ล่ะ(เพราะเห็นแบกอยู่คนเดียว) น้องเค้าบอก
"ตายหมดแล้ว" ไม่กล้าถามว่าเพราะอะไร
เพราะแค่ได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกช็อคแล้ว ตอนนี้น้องเค้าอยู่กับป้าหลายๆ ครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อย มีแต่ปัญหาเข้ามาเสมอๆ แต่ลองมองไปไกลๆ มองคนที่แย่กว่าเรา ไอ้ปัญหาที่เรามีอยู่มันช่างจิ๊บจ๊อยจริงๆ
.....
แม่เคยบอกว่า "รู้สึกสูงค่าให้มองขึ้นฟ้าเพราะยังมีคนที่ดีกว่าเรา แต่ถ้ารู้สึกต่ำต้อยก็ให้มองลงดิน อย่างน้อยๆ ก็มีคนที่แย่กว่าเรา" หลายๆ ครั้งที่แม่บอกอะไรมาล้วนแต่ใช้ได้จริง
"ความรู้รู้เท่าที่เรียน ปฏิภาณความเพียรไม่เรียนก็รู้" เป็นคติที่พ่อใช้สอนฉันเสมอ คตินี้พ่อได้มาจากแม่ซึ่งตาเป็นคนสอนแม่ตอนตายังมีชีวิตอยู่
แม้คนเราไม่มีตัวตนแล้ว แต่สิ่งๆ หนึ่งยังคงอยู่ ถ้าสิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อคนในยุคต่อมา ...
.....
ปล. วันก่อนที่จะออกเดินทางได้รับโปสการ์ด3ใบรวด จากคนหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนอีกส่วนหนึ่งของตัวฉัน ขอบคุณมากนะ
No comments:
Post a Comment